การฟื้นตัวของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบันดัชนีหลักของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็นดาวโจนส์ เอสแอนด์พี 500 และแนสแด็ก 100 ต่างก็พาปรับตัวขึ้นสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลอย่างต่อเนื่อง ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมา 11.5% เอสแอนด์พี 11.6% และแนสแด็ก 100 ขึ้นมาแล้ว 8.2% ตามลำดับ
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าหุ้นทุกกลุ่มจะปรับตัวขึ้นได้อย่างโดดเด่น แต่ก็ยังมีหุ้นบางกลุ่มที่ยังมีโอกาสฟื้นตัวตามเพื่อนกลุ่มอื่นขึ้นมาได้ ในบทความนี้เราจะพาไปดูกองทุน ETF ที่มีโอกาสเติบโตในช่วงเวลาที่เหลือของไตรมาสที่สอง
1. VanEck Vectors Low Carbon Energy ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $159.77
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $65.06 - $195.55
เปอร์เซ็นต์การปันผล: 0.06%
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.62% ต่อปี
แม้ว่าการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 จะสร้างความเดือดร้อนให้กับเศรษฐกิจทั่วโลก แต่ท่ามกลางความวุ่นวายก็ยังมีหุ้นที่ได้ประโยชน์และเติบโตเป็นอย่างมาก นั่นก็คือหุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและธุรกิจพลังงานทางเลือก ที่สำคัญนโยบายพลังงานสะอาดที่โจ ไบเดนสนับสนุนมาตลอดก็ทำให้ประชาชนสนใจและมีความต้องการหันไปใช้ผลิตภัณฑ์ที่มาจากพลังงานสะอาดมากขึ้น
หนึ่งในกองทุนที่เน้นถือหุ้นธีมรักษ์โลกก็คือกองทุน ETF ที่มีชื่อว่า VanEck Vectors Low Carbon Energy (NYSE:SMOG) ภายในระยะเวลาห้าสิบสองสัปดาห์ล่าสุด ราคาหุ้นของกองทุนนี้ได้วิ่งกลับขึ้นมาแล้ว 141% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้เมื่อวันที่ 25 มกราคม หลังจากที่นักลงทุนปิดคำสั่งซื้อขายเพื่อทำกำไรไปแล้ว พบว่า SMOG ปรับตัวลดลงมา 20% แต่หากนับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบัน พบว่า SMOG ปรับตัวลดลงมาแล้ว 4%
กองทุน VanEck ไม่ได้พึ่งจะมาลงทุนในพลังงานสะอาด พวกเขาก่อตั้งกองทุนนี้ขึ้นมาตั้งแต่ปี 2007 มีสินทรัพย์ทั้งหมดรวมแล้วคิดเป็น $427 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ที่ผ่านมากองทุนได้ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับพลังงานไบโอดีเซล พลังงานลม แสงอาทิตย์ น้ำ ฯลฯ
หากแบ่งหุ้นที่ VanEck ออกเป็นกลุ่มจะพบว่ากองทุนนี้แบ่งลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารมากที่สุด 35.5% ตามมาด้วยกลุ่มอุตสาหกรรม 27.7% กลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย 20% และกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค 9.3%
ปัจจุบัน SMOG ประกอบไปด้วยหุ้นของหกสิบห้าบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานสะอาด มีหุ้นของบริษัทชื่อดังคิดเป็น 64% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ยกตัวอย่างเช่น Eaton (NYSE:ETN) Tesla (NASDAQ:TSLA) Nio (NYSE:NIO) Vestas Wind Systems (OTC:VWDRY) และ Microchip Technology (NASDAQ:MCHP)
ส่วนตัวแล้วเรามองว่าจังหวะที่ราคาหุ้น SMOG กำลังย่อตัวลงมาตอนนี้ เป็นเวลาที่ดีที่ควรเข้าถือหุ้นของกองทุน ETF ดังกล่าว ยิ่งถ้า SMOG สามารถลงไปถึง $150 จะยิ่งน่าสนใจและน่าลงทุนมากยิ่งกว่าเดิม แต่สิ่งที่นักลงทุนต้องตระหนักเอาไว้ก็คือกองทุนนี้ถือหุ้นของเทสลาและนีโอรวมแล้วคิดเป็นสัดส่วน 20% ของกองทุน ดังนั้นความเคลื่อนไหวของหุ้นทั้งสองตัวจึงจะส่งผลกระทบต่อหุ้น SMOG อย่างมีนัยสำคัญ
2. ALPS Medical Breakthroughs ETF
ระดับราคาปัจจุบัน: $50.58
กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $36.00 - $64.04
เปอร์เซ็นต์การปันผล: N/A
อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.50% ต่อปี
กองทุน ETF ที่มีชื่อว่า ALPS Medical Breakthroughs (NYSE:SBIO)เป็นกองทุนที่เน้นลงทุนในหุ้นบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพและเภสัชกรรมขนาดเล็กและกลาง แบ่งตามขนาดของมูลค่าบริษัทตั้งแต่ $200 ล้านเหรียญสหรัฐขึ้นไปจนถึง $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ที่สำคัญ บริษัทเหล่านี้จะต้องมียาหรือวัคซีนที่อยู่ในเฟสใดก็ได้ตามการตรวจสอบขององค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐอเมริกา
กองทุน ALPS ก่อตั้งขึ้นในเดือนธันวาคมปี 2014 มีหุ้นอยู่ในสังกัดทั้งสิ้น 104 บริษัท มีสินทรัพย์รวมแล้วทั้งสิ้น $246 ล้านเหรียญสหรัฐโดยหุ้นสิบตัวหลักมีมูลค่าประมาณ 30% ของหุ้นที่อยู่ทั้งหมด ปัจจุบันหุ้นที่สังกัดอยู่ในกองทุนนี้ได้แก่ Fate Therapeutics (NASDAQ:FATE) Vir Biotechnology (NASDAQ:VIR) Emergent Biosolutions (NYSE:EBS) Arena Pharmaceuticals (NASDAQ:ARNA) และ Legend Biotech (NASDAQ:LEGN)
ในช่วงระยะเวลาสิบสองเดือนล่าสุด ราคาหุ้นของกองทุน ALPS ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 27.5% แต่หลังจากสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ กราฟ SBIO ก็ปรับตัวลงมาแล้วมากกว่า 21% สำหรับนักลงทุนที่เชื่อว่าต่อจากนี้โลกจะหันมาให้ความสำคัญกับวงการแพทย์หรือเภสัชกรรมมากขึ้น SBIO คือกองทุนที่คุณไม่ควรพลาด