แม้จะมีกระแสปรับลดคาดการณ์ GDP Growth ปี 2564 แต่เชื่อว่าจะไม่เกิด ขึ้นกับประมาณการกําไรของบริษัทจดทะเบียน ภาพรวมความกังวลจาก Covid-19 ยังกดดัน SET Index แต่ Downside จํากัด พอร์ตจําลอง ขาย ทํากําไร SPVI และลด BLA ลง 5% เข้าซื้อ TMT และ KSL อย่างละ 5% หุ้น Top Pick เลือก BBL, KSL และ TMT
มีกระแสปรับลด GDP แต่ไม่น่าจะเกิดขึ้นกับกําไรบริษัทจดทะเบียน
เริ่มเห็นกระแสการปรับลดประมาณการ GDP Growth ลงหลังความกังวลจากสถานการณ์ ระบาด Covid-19 เพิ่มขึ้น ในมุมของฝ่ายวิจัยได้จัดทํา Sensitivities Analyst กรณีที่ องค์ประกอบในภาคเศรษฐกิจในประเทศลดลงอย่างละ 0.25% จนถึง 1% พบว่าส่งผลให้ GDP Growth ปี 2564 ลงมาอยู่ที่ 2.04% จากปัจจุบัน 2.6% อย่างไรก็ตามยังมีตัวแปรใน เรื่องของ การควบคุมการระบาด Covid-19 , Vaccine และมาตรการพยุงเศรษฐกิจที่จะ ขับเคลื่อนออกมา ที่ต้องติดตามต่อ สําหรับกําไรบริษัทจดทะเบียน ฝ่ายวิจัยคาดว่าปี 2564 จะมี EPS อยู่ที่ 70.2 บาท/หุ้น โดยมี Downside มีจํากัด แต่ในทางตรงข้ามอาจมี Upside เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์หลายตัวปรับสูงขึ้นมาก ขณะที่ผลประกอบการกลุ่ม ธนาคารพาณิชย์ยังโดดเด่น ทั้งนี้ในส่วนของราคาโภคภัณฑ์ที่น่าสนใจในช่วงนี้ได้แก่ ราคา เหล็ก ที่ปรับตัวสูงขึ้นในอัตราที่สูงต่อเนื่อง น่าจะส่งผลทําให้ผลประกอบการโดดเด่น หุ้นที่ น่าสนใจได้แก่ TMT ถัดมาเป็นราคาน้ําตาลดิบ ที่ปรับขึ้นอีกครั้งจากความกังวลเรื่องภัย แล้งในอเมริกาใต้ ซึ่งเป็นผลดีต่อ KSL พอร์ตจําลอง ให้ขายทํากําไร SPI และลดน้ําหนัก BLA ลง 5% เพื่อเข้าซื้อ TMT และ KSL อย่างละ 5% Top Pick เลือก BBL, KSL และ TMT
รัฐพร้อมเป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจชุดใหม่ เน้นหุ้นค้าปลีก ผลการประชุม ครม.วานนี้ มีประเด็นน่าสนใจดังต่อไปนี้
-
ครม. มีมติขยายระยะเวลาโครงการ "เราชนะ" ออกไปอีก 1 เดือน และ เพิ่มวงเงินโครงการอีก 3 พันล้านบาท: ที่ประชุม ครม. ขยายโครงการเราชนะ ออกไปจนถึงเดือน มิ.ย. 2564 จากเดิมสิ้นสุดเดือน พ.ค. 2564 ซึ่งเป็นส่วนที่ สอดคล้องกับตลาดคาด แต่ส่วนที่ดีกว่าคาดคือ ครม. อนุมัติปรับเพิ่มวงเงิน โครงการอีก 3 พันล้านบาท (0.02% ของ GDP) จากเดิม 2.10 แสนล้านบาท เป็น 2.13 แสนล้านบาท และเพิ่มจํานวนผู้เข้าร่วมโครงการเป็น 33.5 ล้านคน จากเดิม 31.5 ล้านคน
-
รองนายกรัฐมนตรีระบุว่าอยู่ระหว่างพิจารณามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชุดใหม่: นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีให้รายละเอียดว่า กระทรวงการคลังกําลังพิจารณามาตรการกระตุ้นชุดใหม่ รวมถึงการต่ออายุ มาตรการชุดเดิม ประกอบด้วย
โครงการที่สนับสนุนให้ประชาชนผู้มีเงินออมนําเงินมาใช้จ่ายมากขึ้น ซึ่งตลาดคาดว่าจะเป็นในรูปแบบคล้ายกับโครงการ"ช้อปดีมีคืน” ที่เคย ออกในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา
โครงการคนละครึ่งเฟส 3 คาดว่าจะกําหนดรายละเอียดได้ภายในเดือนพ.ค. 2554 ก่อนที่จะเริ่มต้นใช้สิทธิได้ในเดือน มิ.ย. 2564
โครงการเราเที่ยวด้วยกันเฟส 3 จะเดินหน้าโครงการต่อไปตามเดิม
และหากพิจารณาวงเงินของรัฐ ปัจจุบันภาครัฐมีเหลือราว 3.76 แสนล้านบาท สําหรับ กระตุ้นเศรษฐกิจ (ดูเพิ่มในบทวิเคราะห์ฉบับวันที่ 20 เม.ย. 2564) และถ้าอิงจากมาตรการ ที่เคยออกมาแล้ว พบว่าใช้วงเงินรวมราว 7.4 หมื่นล้านบาท เช่น โครงการคนละครึ่งใช้ วงเงิน 5.5 หมื่นล้านบาท (รวมเฟส 1 และ 2) ส่วนโครงการช้อปดีมีคืนใช้วงเงินราว 1.9 หมื่นล้านบาท ซึ่งเทียบกับวงเงินคงเหลือที่ 3.76 แสนล้านบาท นับว่าเพียงพอ
MARKET TALK กลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวม ASPS มองว่าความคาดหวังจากการทยอยเดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นมา อย่างต่อเนื่อง จะเป็นปัจจัยที่ช่วยประคองเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นไทยไว้ และยังสร้าง Sentiment ต่อหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากมาตรการ เช่น กลุ่มค้าปลีก CRC, MAKRO และ CPALL (BK:CPALL) และกลุ่มผู้ผลิตสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจําวัน OSP, TKN, SAPPE และ TVO
บทความนี้จัดทำและเผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ ASIA Plus Securities