สัปดาห์นี้จะเป็นสัปดาห์ที่เข้าสู่ช่วงเวลาการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ของบริษัทชื่อดังในสหรัฐอเมริกาอย่างเต็มตัวหลังจากที่บางบริษัทเริ่มรายงานผลประกอบการมาแล้วตั้งแต่วันที่ 14 เมษายน สิ่งที่นักลงทุนให้ความสำคัญกับการรายงานผลประกอบการไตรมาสนี้คือแรงกดดันจากความกังวลอัตราเงินเฟ้อว่าจะส่งผลต่อกำไรของบริษัทเอกชนหรือไม่
ข้อมูลจาก Refinitiv รายงานว่ามีโอกาสที่บริษัทเอกชนสหรัฐฯ จะสามารถรายงานผลประกอบการที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ในไตรมาสที่ 1 ปี 2021 นี้มีมากถึง 84% เพราะแม้ขนาดดัชนีเอสแอนด์พี 500 ยังสามารถมีกำไรเติบโตในไตรมาสนี้ได้มากถึง 30.2% FaceSet ถึงกับรายงานว่าไตรมาสที่ 1 ปี 2021 คือช่วงเวลาที่ดีที่สุดของเอสแอนด์พี 500 นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ปี 2010
นอกจากความเชื่อมั่นของตลาดลงทุนที่หนุนให้เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นมาได้แล้ว ดัชนีหลักอื่นๆ อย่างดาวโจนส์และแนสแด็กก็สามารถปรับตัวขึ้นทำสถิติใหม่ด้วยเช่นกัน เอสแอนด์พีจบสัปดาห์ที่แล้วด้วยจุดสูงสุดใหม่ ดาวโจนส์ทำสถิติปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกันในขณะที่แนสแด็กสามารถปรับตัวขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว 1.1%
ในบทความนี้เราได้นำสามหุ้นที่น่าสนใจที่สุดประจำสัปดาห์นี้มาให้คุณผู้อ่านอีกเช่นเคยซึ่งจะมีสองบริษัทที่จะมีคิวรายงานผลประกอบการและอีกหนึ่งบริษัทที่พึ่งเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
1. Netflix
บริษัทผู้ให้บริการรับชมภาพยนตร์สตรีมมิ่งยักษ์ใหญ่ ‘เน็ตฟลิกซ์’ (NASDAQ:NFLX) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ปี 2021 ในวันอังคารที่ 20 เมษายนหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เน็ตฟลิกซ์จะสามารถทำกำไรได้ $7,140 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.97 แม้เน็ตฟลิกซ์จะเติบโตเป็นอย่างมากในช่วงการแพร่ระบาดเมื่อปีที่แล้ว แต่เมื่อมีคู่แข่งเพิ่มขึ้นจึงเริ่มส่งผลให้การเติบโตของยอดผู้สมัครสมาชิกเน็ตฟลิกซ์ชะลอตัว
นับตั้งแต่ต้นปี 2021 มาจนถึงปัจจุบันหุ้นเน็ตฟลิกซ์สามารถปรับตัวขึ้นมาเหนือ 1% ได้เพียงเล็กน้อย เทียบกับดัชนีแนสแด็กที่ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 9% ในช่วงระยะเวลาเดียวกัน ล่าสุดหุ้นเน็ตฟลิกซ์มีราคาปิดอยู่ที่ $546.54 นักลงทุนบางส่วนจึงหวังว่าหากรายงานผลประกอบการในวันพรุ่งนี้สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้จะสามารถพาหุ้นของบริษัทออกจากรอบการวิ่งของราคาที่อึดอัดนี้ไปได้
ในปีนี้เน็ตฟลิกซ์ต้องรับศึกหลายด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการเติบโตของคู่แข่งคนสำคัญอย่างดิสนีย์ (NYSE:DIS) ที่นับวันผู้บริโภคก็ยิ่งหันไปใช้บริการของดิสนีย์พลัส (Disney+) มากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งรายอื่นๆ ภายในประเทศที่สำคัญอย่างแอปเปิลทีวี (Apple TV) ของบริษัทแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ไพรม์ วิดีโอ (Prime Video) ของอะเมซอน (NASDAQ:AMZN) และเอ็นบีซียูนิเวอซัล (NASDAQ:CMCSA)
2. Johnson & Johnson
บริษัทข้ามชาติจากอเมริกาผู้มีชื่อเสียงโด่งดังในอุตสาหกรรมยา เครื่องมือแพทย์ และสินค้าอุปโภคบริโภค ‘จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน’ (NYSE:JNJ) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า ‘เจแอนด์เจ’ จะรายงานผลประกอบการในวันเดียวกันกับเน็ตฟลิกซ์แต่จะรายงานผลประกอบการก่อนที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าไตรมาสนี้เจแอนด์เจจะสามารถทำกำไรได้ $22,000 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.34
ในช่วงนี้ชื่อเสียงของเจแอนด์เจมักจะถูกพูดถึงเป็นอย่างมากในฐานะหนึ่งในบริษัทที่สามารถผลิตวัคซีนต้านโควิด-19 อย่างไรก็ตามเมื่อไม่นานมานี้มีรายงานออกมาว่ามีโอกาสที่จะพบอาการข้างเคียงอย่างเช่นการเกิดภาวะลิ่มเลือดจากวัคซีนของเจแอนด์เจ นักลงทุนจึงเกิดคำถามว่าข่าวร้ายนี้จะส่งผลกระทบต่อตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสนี้ของบริษัทหรือไม่
สำนักข่าว Wall Street Journal ได้รายงานข้อมูลจากอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค (ACIP-Advisory Committee on Immunization Practice) ภายใต้คณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่ายังไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะกล่าวหาวัคซีนของเจแอนด์เจได้ว่าจะเกิดผลข้างเคียง ดังนั้นจึงควรอนุญาตให้ฉีดวัคซีนของเจแอนด์เจได้ต่อไป
นักวิเคราะห์มองว่าหากตัดปัจจัยเสี่ยงเรื่องผลข้างเคียงจากวัคซีนออกไป ธุรกิจอื่นๆ ของเจแอนด์เจก็ยังสามารถทำกำไรได้ดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากโควิดเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นับตั้งแต่ต้นปี 2021 หุ้นของเจแอนด์เจปรับตัวขึ้นมาแล้ว 3% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $162.24
3. Coinbase
การเติบโตขึ้นของโลกสกุลเงินดิจิทัลในหลายๆ มิติทำให้บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัล ‘คอยน์เบส’ (NASDAQ:COIN) ซึ่งเป็นผู้บริการรายใหญ่ของอเมริกาสามารถทำ IPO เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ ได้เป็นทางการเมื่อวันที่ 14 เมษายนที่ผ่านมา ปัจจุบันคอยน์เบสสังกัดอยู่บนดัชนีแนสแด็ก มีมูลค่าตลาดอยู่ที่ $68,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ราคาหุ้นของคอยน์เบสจะย่อตัวลงมาเล็กน้อย แต่ก็ยังสามารถจบสัปดาห์แรกได้ด้วยการปิดบวก
แม้จะย่อตัวลงมา แต่เมื่อวันศุกร์ที่แล้วหุ้นคอยน์เบสก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 6% มีราคาปิดอยู่ที่ $342 อยู่สูงกว่าราคาอ้างอิงที่ $250 มากกว่า 30% และสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ที่ $429.54 ซึ่งเกิดขึ้นในวันเดียวกันกับที่มีการเปิดตัว เคเน็ต ฮิลล์ นักวิเคราะห์จาก Loop Capital Markets ให้ความเห็นว่า
“ตอนนี้หุ้นของคอยน์เบสกำลังเป็นที่นิยมในหมู่นักลงทุนรายย่อยและนักวิเคราะห์สายฟิวเจอร์ริสติค (Futuristic) ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่เชื่อในสกลุเงินดิจิทัลก็ควรจะมีหุ้นตัวนี้เอาไว้ในพอร์ตการลงทุนของคุณ”
นอกจากนี้เขายังแนะนำให้หุ้นของคอยนห์เบสอยู่ในระดับ “น่าซื้อ” และเปรียบเทียบอนาคตของหุ้นคอยน์เบสเป็นเหมือนรันเวย์ของสนามบินที่ยังมีพื้นที่กว้างขวางพอให้เครื่องบินสามารถทะยานขึ้นได้อีกหลายลำ
แม้ว่าตัวสกุลเงินดิจิทัลหรือบิทคอยน์จะมีความเสี่ยง แต่นักวิเคราะห์ชื่อดังหลายคนก็ได้เข้าไปซื้อหุ้นคอยน์เบสแล้ว รวมถึงเจ้าของกองทุน ‘ARK’ ชื่อดังอย่างเคธี่ วูดส์ซึ่งเป็นสายฟิวเตอร์ริสติคเต็มตัวก็ไม่พลาดที่จะซื้อหุ้นคอยน์เบสในวงเงิน $352 ล้านเหรียญสหรัฐ