ในชีวิตประจำวันของพวกเรา จะมีสักกี่แบรนด์ที่เราเห็นผลงานของพวกเขามาตั้งแต่เด็กจนโต จากวันที่เรานั่งฝันอยากเข้าไปอยู่ในปราสาทของอาณาจักรมิกกี้ จนวันนี้ที่เราได้เห็นอาณาจักรดิสนีย์ (NYSE:DIS) ในฐานะบริษัททางด้านสื่อภาพยนตร์ที่ทรงอิทธิพลที่สุดแห่งหนึ่งของสหรัฐอเมริกา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมหุ้นของดิสนีย์จึงเป็นที่น่าดึงดูดสำหรับผู้คนในทุกยุคทุกสมัย
หากตัดเรื่องวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นในปีที่แล้วออกไป หุ้นของดิสนีย์ฺก็ยังถือว่าเป็นตัวเลือกชั้นยอดสำหรับนักลงทุนระยะยาว ในสายตาของเด็ก พวกเขาอาจจะรู้จักแค่โลกตัวละครที่อยู่ในการ์ตูน ภาพยนตร์และสวนสนุกเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วอาณาจักรดิสนีย์ครอบคลุมอยู่ในหลายกิจการไม่ว่าจะเป็นสวนสนุก ภาพยนตร์ รีสอร์ท ฯลฯ
การเข้ามาของวิกฤตโควิด-19 ทำให้ดิสนีย์จำเป็นต้องระงับการให้บริการสวนสนุก รีสอร์ท และทุกบริการที่อาจทำให้ผู้คนมารวมตัวกันและก่อให้เกิดการแพร่ระบาด จากการรายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุด กำไรของดิสนีย์หดหายไป 22% คิดเป็นเงินมูลค่า $16,250 ล้านเหรียญสหรัฐ
ในตอนนี้ สถานการณ์การระบาดเริ่มคลี่คลายลงแล้ว โลกเรามีวัคซีนต้านโควิดและกำลังกระจายไปยังพื้นที่ต่างๆ ของโลก คำถามของนักลงทุนระยะยาวสำหรับสถานการณ์ของดิสนีย์ตอนนี้คือ
“บริษัทจะสามารถกลับไปทำกำไรได้อีกครั้งหรือไม่ในวันที่โลกสามารถควบคุมโควิดได้แล้ว?”
เมื่อพิจารณาพฤติกรรมการวิ่งของหุ้นดิสนีย์ในปัจจุบันจะพบว่าความมั่นใจในหุ้นดิสนีย์กลับมาตั้งแต่การปรับตัวขึ้นมากกว่า 90% ในปี 2020 ดูเหมือนว่านักลงทุนจะมองข้ามปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อตัวหุ้นในระยะสั้น และเห็นไปถึงมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทที่ว่าดิสนีย์ก็ยังเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการภาพยนตร์ที่ไม่มีวันล้มได้ง่ายๆ หุ้นดิสนีย์มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $185.53 พึ่งสร้างจุดสูงสุดใหม่ไปในช่วงต้นเดือนนี้เอง
ดิสนีย์กับการปรับตัวเพื่อเข้าสู่สภาวะปกติ
จากความสามารถในการกระจายวัคซีนต้านโควิดได้อย่างมีประสิทธิภาพของสหรัฐอเมริกาทำให้ดิสนีย์เริ่มส่งสัญญาณว่าพร้อมกลับสู่สภาพปกติแล้ว ในวันที่ 17 มีนาคม ดิสนีย์ได้ประกาศแผนการกลับมาเปิดดิสนีย์แลนด์และสวนสนุกดิสนีย์ในรัฐแคลิฟอร์เนียในวันที่ 30 เมษายนหรืออีกเพียง 29 วันนับจากวันที่เขียนบทความเท่านั้น ตัวละครในโลกเทพนิยายมากกว่า 10,000 ตัวกำลังจะกลับมาเติมเต็มความฝันให้กับเด็กๆ อีกครั้ง
อีกธุรกิจหนึ่งที่น่าสนใจและเรียกได้ว่าคือผู้ช่วยชีวิตบริษัทดิสนีย์ให้ก้าวผ่านความยากลำบากในปีที่แล้วมาได้คือธุรกิจภาพยนตร์สตรีมมิ่งออนไลน์ “ดิสนีย์พลัส (Disney+)” ทุกคนทราบดีว่าธุรกิจนี้คือคู่แข็งของยักษ์ใหญ่อย่างเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) โดยตรง และด้วยชื่อเสียงของดิสนีย์ทำให้ทันทีที่ดิสนีย์พลัสเปิดตัวก็มีผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกเพื่อชมภาพยนตร์มากมาย ล่าสุดตัวเลขผู้สมัครสมาชิกดิสนีย์พลัสตั้งแต่เปิดให้บริการจนถึงเดือนมีนาคมมีทั้งหมด 100 ล้านคนซึ่งดิสนีย์ตั้งเป้าว่าจะให้ถึง 260 ล้านคนให้ได้ภายในปี 2024
นักวิเคราะห์จากธนาคารชื่อดังโกลด์แมน แซคส์ได้ตั้งเป้าหมายของราคาหุ้นดิสนีย์เอาไว้ที่ $225 โดยให้เหตุผลว่าทรัพยากรในโลกแห่งภาพยนตร์ที่ดิสนีย์มีอยู่แล้วสามารถเอามาต่อยอดเป็นภาพยนตร์หรือมินิซีรีส์ได้มากมาย ปัจจัยนี้จะเป็นตัวทำให้ดิสนีย์มีการเติบโตของยอดผู้สมัครสมาชิกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่สำคัญหากธุรกิจหลักอย่างสวนสนุก รีสอร์ท หรือโรงภาพยนตร์กลับมาให้บริการตามปกติแล้ว หุ้นดิสนีย์จะยิ่งฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่เห็นในปัจจุบัน
เบรนดอน นิสเปล นักวิเคราะห์จาก KeyBanc วิเคราะห์ว่า “การเอาภาพยนตร์ชื่อดังของบริษัทมาย่อยเป็นมินิซีรีส์ทำให้ยอดผู้สมัครสมาชิกเพิ่มขึ้นเร็วกว่าที่คาด ยิ่งถ้าไปดูหุ้นในกลุ่มของผู้ให้บริการสวนสนุกจะเห็นว่าการฟื้นตัวเริ่มกลับมาแล้ว เมื่อนำปัจจัยสนับสนุนทั้งสองมารวมกัน ก็ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธหุ้นดิสนีย์ได้เลย”
โดยสรุปแล้ว
จริงอยู่ว่าวิกฤตโรคระบาดทำให้หุ้นดิสนีย์อาจจะหมดความน่าสนใจลงไปบ้าง เพราะเหล่ารายได้หลักๆ ของดิสนีย์ก็คือสวนสนุก รีสอร์ทและโรงภาพยนตร์ แต่ในวันที่เราเริ่มนับถอยหลังวันถอดหน้ากากอนามัยแล้ว หุ้นของดิสนีย์ก็ยิ่งเป็นที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าหุ้นดิสนีย์จะยังไม่ปันผลคืนให้แก่ผู้ถือหุ้นในเร็ววัน แต่บริษัทที่มีตัวละครอยู่ในใจเด็กๆ ทั่วโลกและเป็นเหตุผลให้พ่อแม่ต้องซื้อสินค้าตามคำขอร้องของลูกๆ แม้ว่าของเล่นนั้นจะแพงแค่ไหนก็ตาม หุ้นแบบนี้จะไม่น่าถือครองในระยะยาวได้อย่างไร