หุ้นกลุ่มการเงินถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางมากที่สุดในช่วงของการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่ตอนนี้กลับเป็นกลุ่มหุ้นที่กำลังกลับมาได้รับความนิยม สังเกตได้จากความเคลื่อนไหวของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ทำผลงานปรับตัวขึ้นได้ในช่วงระยะหลัง เมื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจกลับมา นักลงทุนจึงเริ่มมีความเชื่อมั่นมากขึ้นและเริ่มกระจายการลงทุนไปยังหุ้นกลุ่มต่างๆ และหนึ่งในนั้นก็คือหุ้นกลุ่มธนาคาร
ตั้งแต่ต้นปี 2021 จนถึงปัจจุบัน ดัชนีธนาคารเคบีดับเบิ้ลยู (KBW) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งของหุ้นกลุ่มธนาคารได้ปรับตัวขึ้นมาแล้ว 20% ในขณะที่เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นมา 5% หุ้นของธนาคารชื่อดังอย่างเจพี มอร์แกน (NYSE:JPM) โกลด์แมน แซคส์ (NYSE:GS) และแบงก์ออฟอเมริกา (NYSE:BAC) ต่างพากันปรับตัวขึ้นจากการลงทุนที่ขยายตัวและความเชื่อที่กลับมามีในธนาคารเพื่อการลงทุน
เมื่อทำเนียบขาวประกาศว่าจะนำเงินกระตุ้นเศรษฐกิจส่วนหนึ่งมาลงทุนในระบบโครงสร้างพื้นฐานและกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค จึงทำให้นักลงทุนกลับมามั่นใจในเศรษฐกิจของอเมริกาอีกครั้ง พวกเขาเริ่มนับถอยหลังสู่วันที่อเมริกาจะปลอดภัยจากโควิดอย่างสมบูรณ์แล้ว
การปรับตัวขึ้นของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยให้หุ้นกลุ่มธนาคารปรับตัวขึ้น เพราะขาขึ้นของกราฟผลตอบแทนฯ สามารถตีความอีกอย่างหนึ่งได้ว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังเพิ่มสูงขึ้น แม้ธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือว่าเฟด (FED) จะออกมาเรียกความเชื่อมั่นว่าสามารถควบคุมปัญหาเงินเฟ้อได้ แต่ตลาดลงทุนก็ไม่เชื่อคำกล่าวนั้นอย่างสนิทใจ ดังนั้นนักลงทุนจึงคิดว่าอีกไม่นานเฟดจะไม่มีทางเลือกนอกจากปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยซึ่งหมายความว่าธนาคารพาณิชย์จะสามารถทำกำไรได้มากขึ้นจากการปรับอัตราดอกเบี้ย
ขาขึ้นในหุ้นกลุ่มธนาคารยังมีพื้นที่อีกมาก
ทุกครั้งที่มีขาขึ้นน่าสนใจ นักลงทุนส่วนใหญ่มักจะตั้งคำถามว่าขาขึ้นครั้งนี้จะไปได้อีกไกลแค่ไหน? หรือขาขึ้นครั้งนี้จะสิ้นสุดความนิยมเมื่อไหร่? นักวิเคราะห์บางส่วนประเมินว่าสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจในตอนนี้เอื้อให้ต่อการเติบโตของหุ้นกลุ่มธนาคารเป็นอย่างมาก ตราบใดที่ภาครัฐยังรักษาความเร็วในการกระจายวัคซีนเช่นนี้อยู่หรือทำได้ดีกว่านี้ในอนาคต
เจอราร์ด แคสซิดี้ นักวิเคราะห์จาก RBC วิเคราะห์ว่า
“หากมองไปในอนาคตอีก 12-18 เดือนข้างหน้า ผมมองว่าขาขึ้นของหุ้นธนาคารยังเป็นอะไรที่สามารถดำเนินไปได้ยาวๆ การกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐจะทำให้คนกล้ากู้ กล้าเป็นหนี้กับธนาคารมากขึ้น ไม่ว่าจะบัตรเครดิตหรือการซื้อขายที่อยู่อาศัย เมื่อมีคนกู้มากขึ้นแล้วธนาคารจะไม่มีกำไรมากขึ้นได้อย่างไร”
แม้หุ้นธนาคารในตอนนี้ดูเป็นตัวเลือกที่น่าลงทุนในระยะยาว และเหมาะแก่การถือครองทุกครั้งที่ราคาย่อตัวลงมา แต่ธนาคารชื่อดังหลายแห่งก็ได้ออกโรงเตือนนักลงทุนและนักช็อปทั้งหลายให้ระวังกับดักหนี้สิน ธนาคารเจพี มอร์แกน กล่าวว่าแม้ตอนนี้ภาพการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจะอยู่ในระดับที่น่าพอใจ แต่อย่าลืมว่าวิกฤตโควิดยังไม่จบและสภาพเศรษฐกิจหลังยุคโควิดก็ยังเป็นภาพอนาคตที่ยังไม่ชัดเจน หากไม่มีการบริหารจัดการเงินที่ดีก็อาจเป็นหนี้มากมายได้ไม่รู้ตัว โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิต
ด้วยความที่การเข้าถึงตลาดลงทุนสามารถทำได้ง่ายขึ้น ทำให้การลงทุนในตลาดสินทรัพย์กลายเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยหนุนหุ้นธนาคารให้ฟื้นตัวกลับขึ้นมาจากวิกฤตโควิดได้เร็ว การรายงานผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของโกลด์แมน แซคส์ถือเป็นยอดกำไรสูงสุดในรอบ 10 ปีของบริษัท เช่นเดียวกับเจพี มอร์แกนที่สามารถรายงานกำไรได้มากที่สุดในไตรมาสที่สี่ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตามรัฐบาลต้องคอยจับตาดูการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งนี้ให้ดีว่าจะสามารถลงไปถึงธุรกิจหรือกิจกรรมทางเศรษฐกิจขนาดเล็กหรือไม่ กลุ่มที่เงินกระตุ้นเศรษฐกิจอาจเดินทางไปไม่ถึงคือกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทำกำไรให้กับธนาคารพาณิชย์มาโดยตลอด
แถลงการณ์ของประธานเฟดที่มีต่อสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ระบุว่า
“ธนาคารกลางฯ ต้องจับตาดูการเติบโตของกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิด หากกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์เกิดสะดุดขึ้นมาเพราะเงินเยียวยาลงไปไม่ถึง อาจก่อให้่เกิดปัญหาและส่งผลกระทบไปถึงธนาคารพาณิชย์จนกลายเป็นผลกระทบลูกโซ่ได้”
โดยสรุปแล้ว
หุ้นในกลุ่มธนาคารถือเป้นหุ้นที่เติบโตได้เร็วในช่วงไตรมาสแรกของปี 2021 นี่เป็นผลกระทบเชิงบวกที่มาจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ทำให้ผู้คนกล้ากู้กล้าจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ในขณะเดียวกันความยินดีนี้คือสัญญาณของอัตราเงินเฟ้อด้วย การใช้จ่ายอย่างเกินตัวของผู้บริโภคที่ไม่มีความรู้ทางการเงินมากพออาจนำมาซึ่งปัญหาได้
ดังนั้นนักลงทุนควรลดความเสี่ยงด้วยการถือหุ้นของธนาคารใหญ่ๆ อย่างเช่นเจพีมอร์แกน โกลด์แมน แซคส์ หรือแบงก์ออฟอเมริกาเอาไว้จะปลอดภัยมากกว่า