เป็นที่ทราบกันดีแล้วว่าประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดนได้ลงนามอนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐเป็นที่เรียบร้อย นอกเหนือจากเช็คเงินสดที่ชาวอเมริกันได้รับคนละ $1,400 แล้ว เงินบางส่วนจะถูกแบ่งไปใช้เพื่อเพิ่มความเร็วให้กับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ บริษัทที่ปรึกษาด้านการจัดการสินทรัพย์ “แมคเคนซีย์ (McKinsey)” ยกคำกล่าวของนักเศรษฐศาสตร์ในอดีตมากล่าวว่า
“ในปี 2015 สำนักงานงบประมาณของสภาคองเกรสเคยประเมินว่าทุกๆ ดอลลาร์ที่ลงทุนไปกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานจะทำให้เศรษฐกิจของประเทศได้ประโยชน์วันละ $2.20 ในขณะที่สภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจคำนวณว่าการลงทุน $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐกับการคมนาคมพื้นฐานจะทำให้ประชาชนชาวอเมริกันมีงานเพิ่มขึ้นปีละ 13,000 ตำแหน่ง”
การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานถือเป็นสิ่งจำเป็นต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ ก่อนหน้านี้เราเคยพูดถึงกองทุน ETF ที่ลงทุนในธุรกิจที่จะได้ประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ วันนี้เราจะมาพูดถึงหัวข้อนี้กันต่อ
1.iShares Global Clean Energy ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $24.73
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $8.08 - $34.25
- อัตราเงินปันผลตอบแทน: 0.33%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.46% ต่อปี
กองทุน ETF นาม iShares Global Clean Energy (NASDAQ:ICLN) เป็นกองทุนที่เน้นซื้อหุ้นของบริษัทที่ทำเกี่ยวกับพลังงานทางเลือกเช่นพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ฯลฯ กองทุนนี้ก่อตั้งขึ้นในเดือนมิถุนายนปี 2008 และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ใกล้กับตัวเลข $5,800 ล้านเหรียญสหรัฐ
ข้อมูลจากองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร C2ES กล่าวว่า
“ตลาดพลังงานทดแทนคือตลาดในด้านพลังงานของสหรัฐอเมริกาที่เติบโตเร็วที่สุด ในปี 2018 พลังงานทดแทนช่วยเพิ่มพลังงานไฟฟ้าให้กับทั่วโลกประมาณ 26.2% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 45% ภายในปี 2040 พลังงานทดแทนที่ได้รับความนิยมคือพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลมและพลังงานน้ำ”
กองทุน ICLN เป็นกองทุนที่ติดตามดัชนี S&P Global Clean Energy ซึ่งปัจจุบันกองทุนนี้ได้ถือหุ้นเอาไว้ 30 ตัว เป็นหุ้นของบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมพลังงานสะอาดของแต่ละประเทศโดยคิดเป็นสัดส่วนหุ้นของบริษัทในสหรัฐอเมริกามากกว่า 35% ตามมาด้วยจีน 11.36% นิวซีแลนด์ 8.17% เดนมาร์ก 7.76% นอกจากนี้ ICLN ยังแบ่งเงินไปลงทุนกับหุ้นในกลุ่มพลังงานไฟฟ้าทดแทน 36.86% อุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์ 16.81% และอุปกรณ์ไฟฟ้าสารพัดประโยชน์ 15.03%
หุ้นของบริษัทที่ ICLN ถือเอาไว้ส่วนใหญ่ถือเป็นแนวหน้าในอุตสาหกรรมพลังงานทางเลือกได้แก่ Plug Power (NASDAQ:PLUG) Enphase Energy (NASDAQ:ENPH) Verbund (OTC:OEZVY) Daqo New Energy (NYSE:DQ) และ Siemens Gamesa Renewable Energy (OTC:GCTAY)
ในปี 2020 ที่ผ่านมา ราคาหุ้นกองทุน ICLN ได้วิ่งขึ้นมาแล้วประมาณ 155% และพึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่เอาไว้เมื่อเดือนมกราคมของปีนี้ หลังจากนั้นราคาหุ้นของกองทุนก็ได้ปรับตัวลดลงมากกว่า 10% สำหรับผู้ที่เชื่อว่าพลังงานทางเลือกคือเส้นทางสู่อนาคตของมนุษยชาติ การปรับตัวลดลงมาครั้งนี้ถือเป็นโอกาสที่จะได้ลงทุนในกองทุนพลังงานสะอาดแล้ว
2.Global X U.S. Infrastructure Development ETF
- ระดับราคาปัจจุบัน: $24.41
- กรอบการวิ่งของราคาในรอบ 52 สัปดาห์: $19.77 - $24.94
- อัตราเงินปันผลตอบแทน: 1.96%
- อัตราค่าใช้จ่ายต่อการดำเนินงาน: 0.40% ต่อปี
กองทุน ETF Global X U.S. Infrastructure Development (NYSE:PAVE) เป็นกองทุนที่ลงทุนในธุรกิจที่ได้รับประโยชน์จากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างเช่น การก่อสร้าง แร่วัตถุดิบ วิศวกรรม ฯลฯ กองทุนนี้ก่อตั้งขึ้นในเดือนมีนาคมปี 2017 และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมอยู่ที่ $1,900 ล้านเหรียญสหรัฐ
กองทุน PAVE เป็นกองทุนที่ติดตามดัชนีวัดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน Indxx ซึ่งปัจจุบัน PAVE ได้ถือหุ้นเอาไว้ประมาณ 101 ตัว เงิน 30% PAVE ได้นำไปลงทุนกับหุ้นชื่อดังของบริษัทอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานเช่น Deere (NYSE:DE) Parker-Hannifin (NYSE:PH) Eaton (NYSE:ETN) Emerson Electric (NYSE:EMR) และ Vulcan Materials (NYSE:VMC)
ราคาหุ้นของ PAVE ในรอบ 12 เดือนล่าสุดปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 92% พึ่งสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไปในเดือนนี้และปัจจุบันราคายังคงวิ่งอยู่ใกล้กับจุดสูงสุดดังกล่าว จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐที่จะมีการแบ่งเงินไปลงทุนกับโครงสร้างพื้นฐานด้วยแล้ว นักลงทุนที่เชื่อว่าบริษัทที่ลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานจะได้อานิสงส์จากเงินกระตุ้นเศรษฐกิจนี้ไม่ควรตัดกองทุน PAVE ออกจากการพิจารณา