นักลงทุนในตลาดยังคงเป็นกังวลต่อสถานการณ์ของผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ หลังจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน อนุมัติมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐอย่างเป็นทางการ เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีปรับตัวขึ้นแตะ 1.642% นับเป็นจุดสูงสุดที่ผลตอบแทนฯ เคยทำได้ในปี 2021 นี่คือสิ่งที่ตามมาหลังจากประธานาธิบดีคนที่ 46 ประกาศว่าชาวอเมริกันวัยทำงานทุกคนต้องได้รับการฉีดวัคซีนภายในวันที่ 1 พฤษภาคม
ข่าวดีนี้ช่วยให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 4% ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้ว สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันศุกร์เอาไว้ที่ 32,778 จุดเพราะนักลงทุนในตลาดเชื่อว่าเศรษฐกิจของอเมริกากำลังฟื้นตัวอย่างสดใส ดังนั้นนักลงทุนจึงหันไปในหุ้นกลุ่มวัฎจักรมากขึ้น ส่งผลให้ขาขึ้นของดัชนีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีอย่างแนสแด็กถูกลดบทบาทความสำคัญลงไป อย่างไรก็ตามสัปดาห์ที่แล้วแนสแด็กยังสามารถสร้างขาขึ้นได้ 3% หลังจากที่เดือนกุมภาพันธ์ปรับตัวลดลงมาตลอดทั้งเดือน 5.5%
ในขณะที่ไตรมาสที่ 1 ของปี 2021 กำลังใกล้จะจบลง ยังมีอีกหลายบริษัทที่ยังไม่ได้รายงานผลประกอบการ ในบทความนี้เราจะพามาดู 2 บริษัทยักษ์ที่ยังไม่ได้รายงานผลประกอบการและอีกหนึ่งบริษัทที่นักลงทุนควรให้ความสนใจกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
1. Nike
บริษัทไนกี้ (NYSE:NKE) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทไนกี้จะสามารถรายงานผลกำไรในไตรมาสนี้ได้ $11,030 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.758
ในปี 2020 หุ้นไนกี้สามารถปรับตัวขึ้นสวนทางวิกฤตโควิด-19 ที่พาให้ภาคธุรกิจปรับตัวลดลง แต่นับตั้งแต่เริ่มปี 2021 มาจนถึงปัจจุบันหุ้นไนกี้ยังไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมากมายนัก นักลงทุนยังคงเฝ้ารอสัญญาณการฟื้นตัวของยอดขายในสหรัฐอเมริกาและประเทศจีนซึ่งเป็นสองตลาดที่ไนกี้สามารถทำยอดขายได้มากที่สุด
ล่าสุดหุ้นไนกี้มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $140.45 ปรับตัวลดลงมาจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $147.95 เล็กน้อย นักวิเคราะห์มองว่าหากไนกี้สามารถรายงานตัวเลขผลกำไรเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ในวันพฤหัสบดี จะช่วยทำให้หุ้นไนกี้สามารถหลุดกรอบการพักตัวนี้ขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลใหม่ได้อีกครั้ง
โดยภาพรวมแล้วนักวิเคราะห์ยังเชื่อมั่นในการเติบโตของแบรนด์ไนกี้ พวกเขาเป็นแบรนด์กีฬาที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานและเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ที่สำคัญไนกี้ยังเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้าสู่โลกออนไลน์มากขึ้นในช่วงที่วิกฤตโรคระบาดเข้ามากระทบตลาดซื้อขายสินค้าทั่วโลก ในการรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 1 ซึ่งเป็นช่วงที่การล็อกดาวน์เกิดขึ้นและมีการยกเลิกงานแข่งขันกีฬาระดับโลก ไนกี้ก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่ายังสามารถสร้างยอดขายที่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์จากนักวิเคราะห์ได้
2. FedEx
บริษัทที่ให้บริการขนส่งและบริการด้านธุรกิจแก่ลูกค้าทั่วโลก “เฟดเอ็กซ์” (NYSE:FDX) จะรายงานผลประกอบการแบบปีบัญชีของไตรมาสที่ 3 ปี 2021 ในวันและเวลาเดียวกันกับไนกี้ นักวิเคราะห์คาดว่าเฟดเอ็กซ์จะสามารถรายงานผลกำไรในไตรมาสนี้ได้ $19,930 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.35
การรายงานผลประกอบการของเฟดเอ็กซ์ถือเป็นการรายงานตัวเลขที่นักลงทุนควรให้ความสนใจ เพราะตัวเลขนี้สามารถใช้เป็นตัวบอกใบ้ถึงสภาพเศรษฐกิจโลกได้เนื่องจากเฟดเอ็กซ์เป็นบริษัทขนส่งสินค้าที่มีสาขาอยู่ในหลายพื้นที่ทั่วโลก การรายงานผลประกอบการครั้งล่าสุดของเฟดเอ็กซ์ได้ทำให้ตลาดรู้ว่าธุรกิจการขนส่งสินค้าท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดมีความสำคัญมากขนาดไหน
แต่ถึงอย่างนั้นหุ้นของบริษัทเฟดเอ็กซ์กลับปรับตัวลดลงหลังจากขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $305.66 ในเดือนธันวาคมเพราะความต้องการส่งสินค้าที่มากขึ้นทำให้ราคาขนส่งสินค้าปรับตัวขึ้นตาม แต่หากนับเฉพาะปี 2021 มาจนถึงปัจจุบันพบว่าหุ้นเฟดเอ็กซ์ปรับตัวขึ้นมาแล้วประมาณ 4% มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $270.29
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจกับการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ของเฟดเอ็กซ์คือบริษัทจะมีความเห็นอย่างไรเมื่อโลกใกล้จะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ ความต้องการส่งสินค้าออนไลน์จะยังเติบโตได้ดีเหมือนเดิมหรือไม่ หากเฟดเอ็กซ์แสดงความเป็นกังวลออกมาในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ก็อาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้น
3. Tesla
หุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า “เทสลา” (NASDAQ:TSLA) อาจมีความเคลื่อนไหวในการเปิดตลาดวันนี้เพราะในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีข่าวว่าเทสลากำลังเตรียมแผนที่จะปรับปรุงขั้นตอนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในโรงงานประเทศจีนเพื่อเพิ่มความสามารถในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศจีนให้ดียิ่งขึ้น
การพัฒนาครั้งนี้จะเน้นไปที่อะไหล่บางชิ้นส่วนที่มาจากโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในกรุงเซี่ยงไฮ้อย่างเช่นระบบพลังงาน เพลารถและมอเตอร์ไฟฟ้า สำนักข่าวบลูมเบิร์กได้รายงานข้อความของบริษัทเทสลาที่ถูกโพสต์ลงบนเว็บไซต์ของเมืองเซี่ยงไฮ้ว่า
“โปรเจคพัฒนาครั้งนี้มีจุดประสงค์เพื่อให้บริษัทสามารถผลิตรถยนต์ได้เพิ่มขึ้นตามความต้องการของผู้บริโภค หากจะให้ความเป็นจริงนี้เกิดขึ้น เราจึงต้องเริ่มที่การปรับปรุงโครงสร้างในการผลิตรถยนต์ของบริษัทก่อนเป็นอันดับแรก”
ประเทศจีนสำหรับบริษัทเทสลาแล้วถือว่าเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับสองและถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการขยายตลาดของบริษัทเทสลา ยอดขายปลีกของรถยนต์ที่นั่งโดยสารในประเทศจีนเดือนที่แล้วเติบโตขึ้นสี่เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปี 2020 คิดเป็นตัวเลขยอดขาย 1.18 ล้านคัน ล่าสุดหุ้นเทสลามีราคาซื้อขายอยู่ที่ $693.73 ตลอดทั้งสัปดาห์ที่แล้วปรับตัวขึ้นมา 23%