เชื่อว่าการเปิดตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันนี้ตลาดน่าจะยังคงความสดใสเอาไว้ได้เช่นสัปดาห์ก่อน แม้จะมีความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อ แต่นักลงทุนในตลาดให้ความเชื่อมั่นกับปัจจุบันที่ยอดผู้ติดเชื้อโควิดใหม่ลดลง ตัวเลขทางเศรษฐกิจหลายตัวเริ่มส่งสัญญาณเป็นบวกมากขึ้น ที่สำคัญที่สุด พวกเขายังคงรอมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากประธานาธิบดีโจ ไบเดนอย่างมีความหวัง
ความเชื่อมั่นเชิงบวกเหล่านี้คือปัจจุยสำคัญที่หนุนตลาดหุ้นสหรัฐฯ มาตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นกลุ่มพลังงานและการเงินที่ฝากความหวังเอาไว้กับการกลับมาเปิดเมืองเปิดพื้นที่ทางเศรษฐกิจ จากการฟื้นตัวของตัวเลขยอดค้าปลีกในสัปดาห์ที่แล้ว ธนาคารเพื่อการลงทุนชื่อดังอย่างโกลด์แมน แซคส์ จึงเชื่อว่าหุ้นของตัวเองจะเติบโตขึ้น 6% ในการรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกของปี 2021 ในขณะที่มอร์แกน สแตนลีย์ก็เชื่อมั่นว่าตัวเองจะสามารถเติบโตในช่วงเวลาเดียวกันได้ 7.5%
การจับตาดูตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ว่าจะฟื้นตัวได้ดีแค่ไหนในสัปดาห์นี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ แต่นักลงทุนบางส่วนก็ยังให้ความสนใจกับการรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ในปี 2020 ของบางบริษัทที่ยังไม่ได้รายงานตัวเลขผลกำไร วันนี้เราจะพามาดูกันว่ายังมีบริษัทใดที่น่าสนใจและควรจับตาดูการรายงานผลประกอบการกันบ้าง
1. NVIDIA Corporation
บริษัทผู้ผลิตการ์ดจอและเซมิคอนดักเตอร์ชื่อดัง NVIDIA (NASDAQ:NVDA) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่สี่ปี 2020 ในวันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ หลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์เชื่อว่าในไตรมาสนี้ NVIDIA จะยังสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรได้ดีเกิดคาดเช่นเคย ประเมินว่าตัวเลขที่ออกมาจะอยู่ที่ $4,820 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขอัตราส่วนการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $2.8
ความต้องการชิปคอมพิวเตอร์และการ์ดจอของเหล่าเกมเมอร์ทำให้หุ้น NVIDIA มีขาขึ้นที่ยอดเยี่ยมตลอด 12 เดือนล่าสุด ในปี 2020 หุ้น NVIDIA สามารถปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 88% และในปี 2021 ได้ปรับตัวขึ้นมาอีก 14% มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $597.06 นอกจากการขายและพัฒนาการ์ดจออย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในการประยุกต์เทคโนโลยีเข้ากับ AI ทำให้ในปีที่แล้ว NVIDIA สามารถสร้างกำไรได้มากเป็นพันพันล้านเหรียญสหรัฐ
สิ่งที่นักลงทุนต้องการทราบจากรายงานผลประกอบการครั้งนี้คือบริษัทจะมีวิธีเพิ่มกำลังการผลิตให้ทันกับความต้องการชิปคอมพิวเตอร์ที่เพิ่มมากขึ้นอย่างไร การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 เพิ่มความต้องการเทคโนโลยีของผู้คนเป็นอย่างมากจนทำให้การผลิตที่มีในตอนนี้ไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภคโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้บริโภคที่ต้องคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊ก เกมเมอร์ที่ต้องการเพิ่มความแรงให้กับการ์ดจอ และแกทเจ็ตอื่นๆ ที่ต้องใช้ชิปคอมพิวเตอร์ในการประมวลผล
2. Salesforce.com
บริษัทผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการจัดการลูกค้าสัมพันธ์ Salesforce.com (NYSE:CRM) จะรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์หลังตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่า Salesforce จะสามารถรายงานผลกำไรออกมาอยู่ที่ $5,670 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขอัตราส่วนการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.7541
ล่าสุดหุ้น Salesforce มีราคาปิดอยู่ที่ $246.56 ปรับตัวลดลงประมาณ 7% ในไตรมาสที่ผ่านมา การรายงานผลประกอบการรอบก่อนหน้า Salesforce ได้บอกตัวเลขคาดการณ์การเติบโตของกำไรบริษัทในไตรมาสนี้กับนักลงทุนของพวกเขาว่าจะเติบโตขึ้น 17% ซึ่งตัวเลขดังกล่าวถือว่าเป็นการเติบโตของยอดขายแบบปีต่อปีที่ช้าที่สุดในรอบ 11 ปี
รายงานผลประกอบการครั้งนี้จะเป็นการแสดงให้เห็นว่าการตัดสินใจลงทุนควบรวมกับบริษัท (NYSE:WORK) ในมูลค่า $27,700 ล้านเหรียญสหรัฐให้ผลตอบแทนที่คุ้มค่ากลับมามากแค่ไหน
3. Best Buy
ร้านค้าปลีกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคสัญชาติอเมริกัน Best Buy (NYSE:BBY) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่า Best Buy จะสามารถรายงานผลกำไรออกมาอยู่ที่ $17,120 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขอัตราส่วนการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $3.45
ล่าสุดหุ้น Best Buy มีราคาปิดอยู่ที่ $118 ปรับตัวลดลงประมาณ 30% ในปี 2020 ที่ผ่านมา ได้อานิสงส์จากความต้องการต่อเติมบ้านในช่วงดอกเบี้ยต่ำและการแพร่ระบาดของโควิด-19 จนทำให้ผู้คนต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตมาทำงานจากที่บ้านเพิ่มมากขึ้น
เมื่อเปรียบเทียบยอดขายระหว่างออนไลน์และออฟไลน์ในปี 2020 มาจนถึงวันที่ 31 ตุลาคมพบว่ายอดขายโดยรวมเติบโตขึ้น 23% กำไรที่ได้ส่วนใหญ่มาจากช่องทางออนไลน์ซึ่งเติบโตขึ้นมาเกือบสามเท่าในสหรัฐอเมริกา ในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ Best Buy ต้องการแสดงให้เห็นว่ายอดขายจากออนไลน์สามารถชดเชยกำไรที่หายไปจากร้านค้าออฟไลน์ได้