ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ยังคงปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง แนสแด็ก 100 ปรับตัวขึ้น 43.6% ภายในช่วง 12 เดือนล่าสุด ในขณะที่ดัชนีดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้น 6.4% และ 16.4% ตามลำดับ แม้นักลงทุนขาขึ้นจะคิดว่าปี 2021 นี้จะยังคงเป็นปีแห่งขาขึ้นของตลาดหุ้นสหรัฐฯ แต่ก็มีนักลงทุนบางส่วนที่เริ่มกังวลว่าขาขึ้นนี้จะยืนระยะไปได้อีกนานเพียงใด
ไม่มีนักลงทุนคนไหนรู้อนาคต ปีนี้อาจจะเป็นปีของขาขึ้นที่สดใสสำหรับหุ้นเทคโนโลยีหรืออาจจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่ ไม่กลับมาวิ่งขึ้นอีกเลยตลอดทั้งปีก็เป็นได้ แต่สำหรับเทคโนโลยีนั้นตอนนี้กลุ่มที่มาแรงที่สุดก็คงจะหนีไม่พ้นกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และบล็อกเชนที่ใครๆ ต่างก็กำลังวิ่งเข้าหาและพยายามจะสร้างโลกแห่งอนาคตให้ได้เป็นคนแรก
ในบทความนี้เราจะมาดูสองกองทุน ETF ที่น่าสนใจซึ่งได้ลงทุนกับหุ้นในแวดวง AI และบล็อกเชน
1. Global X Robotics & Artificial Intelligence ETF
- ราคาปัจจุบัน: $36.46
- กรอบราคาเฉลี่ยในรอบ 52 สัปดาห์ล่าสุด: $14.77 - $36.46
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.68% ต่อปี
กองทุน ETF Global X Robotics & Artificial Intelligence (NASDAQ:BOTZ)) คือกองทุนที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนในธุรกิจที่นำวิศวกรรมหุ่นยนต์และการทำปัญญาประดิษฐ์ สิ่งที่บริษัทเหล่านี้เน้นเป็นอย่างมากคือการทำให้หุ่นยนต์สามารถทำงานบางอย่างแทนที่มนุษย์และรถยนต์ไร้คนขับ ข้อมูลจากงานวิจัยที่เชื่อถือได้เปิดเผยล่าสุดว่า ในปี 2019 ธุรกิจ AI ในสหรัฐอเมริกามีมูลค่าอยู่ที่ $39,900 ล้านเหรียญสหรัฐและหากคำนวณแบบอัตราการเติบโตของพอร์ตเฉลี่ยต่อปีแบบทบต้น (CAGR) จะพบว่ามีการเติบโตในระหว่างปี 2020 ถึงปี 2027 ที่ 42.2%
ตลาดลงทุนพึ่งจะยอมรับให้เทคโนโลยี AI บล็อกเชนหรือรถ EV ให้กลายเป็นการลงทุนแขนงหนึ่งที่มีการเติบโตและเป็นตัวช่วยในภาคส่วนต่างๆ เช่นการผลิต ค้าปลีก e-commerce ธุรกรรมการเงินและการดูแลสุขภาพ กองทุน BOTZ ได้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 32 ตัว เป็นหุ้นที่อยู่ในดัชนี INDXX Global Robotics & Artificial Intelligence Thematic Index
การลงทุนของกองทุน BOTZ ได้กระจายไปยังกลุ่ม IT (41.2%) กลุ่มการดูแลสุขภาพ (12.2%) กลุ่มธุรกิจจากประเทศญี่ปุ่น (34.1%) บริษัทเทคฯ ในสหรัฐฯ (36.1%) สวิตเซอร์แลนด์ (11.9%) และสหราชอาณาจักร (5.3%) หุ้นชื่อดังที่กองทุน BOTZ ได้เข้าไปถืออยู่ได้แก่หุ้นของบริษัท NVIDIA (NASDAQ:NVDA) Fanuc (OTC:FANUY) Intuitive Surgical (NASDAQ:ISRG) ABB (NYSE:ABB) และ Keyence (OTC:KYCCF)
เมื่อปีที่แล้ว กองทุน BOTZ สามารถปรับตัวขึ้นได้ตลอดทั้งปี 60% สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ หากต้องการซื้อและถือเอาไว้ในระยะยาวให้พิจารณาเมื่อราคาปรับตัวลดลงมาต่ำกว่า $35
2. Amplify Transformational Data ETF
- ราคาปัจจุบัน: $54.48
- กรอบราคาเฉลี่ยในรอบ 52 สัปดาห์ล่าสุด: $13.04 - $54.75
- อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล:1.21%
- อัตราส่วนค่าใช้จ่ายกองทุน: 0.70% ต่อปี
กองทุน ETF Amplify Transformational Data (NYSE:BLOK) เป็นกองทุนที่มุ่งเน้นไปที่การลงทุนกับธุรกิจพัฒนาและนำบล็อกเชนมาใช้งานได้จริงเป็นหลัก นับตั้งแต่กองทุนนี้เปิดตัวมาในเดือนมกราคมปี 2018 สินทรัพย์รวมที่กองทุนนี้มีก็ขยับเข้าใกล้ตัวเลข $1,000 ล้านเหรียญสหรัฐเข้าไปทุกทีแล้ว
เมื่อพูดถึงบล็อกเชนเชื่อว่าใครหลายคนคงจะคิดถึงสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังหลายๆ ตัวขึ้นมาทันทีอย่างเช่น Bitcoin Dogecoin Ethereum และ Ripple แต่ในความจริงแล้วเทคโนโลยีบล็อกเชนนั้นสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้อีกหลายอย่าง และทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเก็บข้อมูลและกระจายข้อมูลดังกล่าวเข้าไปยังส่วนกลางให้ผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถดึงข้อมูลเหล่านั้นไปใช้ได้
บล็อกเชนยังถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมอื่นนอกจากการเงินด้วยเช่น การเกษตร คลาวด์ ธุรกิจโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล การศึกษา บันเทิง ประกันภัย ฯลฯ นักวิเคราะห์บางคนประเมินว่าการเติบโตของการใช้งานบล็อกเชนจะเติบโตขึ้นจาก $1,500 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2019 ขึ้นเป็น $15,900 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2023
กองทุน BLOK ได้ลงทุนในหุ้นกลุ่มนี้รวมแล้วทั้งสิ้น 54 ตัวและกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มซอฟต์แวร์และบริการ (41.3%) กลุ่มบริษัทการเงินที่เน้นกระจายความเสี่ยง (17.0%) กลุ่มสื่อเพื่อความบันเทิง (11.3%) กลุ่มรายย่อย (8.6%) และธนาคาร (6.0%)
บริษัทที่กองทุนนี้นำเงินไปลงทุนนั้นอยู่ในสหรัฐอเมริกา (56.8%) และเอเชียแปซิฟิก (36.8%) เช่น MicroStrategy (NASDAQ:MSTR) Galaxy Digital (TSX:GLXY), Riot Blockchain (NASDAQ:RIOT) Marathon Patent (NASDAQ:MARA) และ Canaan (NASDAQ:CAN)
หุ้นของกองทุน BLOK เติบโตขึ้นมากกว่า 171% ในปี 2020 สร้างจุดสูงสุดตลอดกาลเอาไว้ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์เช่นเดียวกับ BOTZ นักลงทุนคนใดที่สนใจในเทคโนโลยีบล็อกเชนหรือสกุลเงินดิจิทัลแต่ไม่มีเวลาลงทุนด้วยตัวเองสามารถรอให้ราคาซื้อขายลงมาที่ $50 ก่อนจึงค่อยเข้าซื้อในระยะยาว