หากอยู่ดีๆ มีคนมาบอกคุณว่าตอนนี้มีกราฟตัวหนึ่งที่สามารถปรับตัวขึ้นได้ 22% ภายในเวลาสามวัน เชื่อว่าคนๆ นั้นอาจจะทายทันทีว่าสินทรัพย์ตัวนั้นคือบิทคอยน์ แต่ที่จริงแล้วขาขึ้นจากจุดต่ำสุดวันที่ 28 มกราคมถึงจุดสูงสุดวันที่ 1 กุมภาพันธ์กลับเป็นของแร่โลหะเงินสินทรัพย์ที่ไม่มีใครสนใจเท่าไหร่นัก
ในช่วงเวลาเดียวกันกับที่แร่เงินปรับตัวขึ้นถือเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่นักลงทุนรายย่อยกำลังทำสงครามกับนักลงทุนสถาบันด้วยการปั่นหุ้นเกมสต๊อป (NYSE:GME) และเอเอ็มซี (NYSE:AMC) อยู่ ด้วยเวลาที่ใกล้เคียงกันนั้นจึงมีคนเข้าใจว่าหรือนักลงทุนเรดดิทจะมีกำลังมากพอที่จะปั่นราคาของแร่โลหะเงินได้ด้วย แต่หลังจากนั้นไม่นาน นักลงทุนเรดดิทก็ได้ออกมาบอกเองว่าพวกเขาไม่เกี่ยวกับขาขึ้นของแร่โลหะเงิน
สาเหตุที่นักลงทุนเรดดิทไม่ได้เข้าไปยุ่งกับสินทรัพย์อื่นๆ นอกจากหุ้นที่มีราคาถูกแล้วเป็นเพราะในสินทรัพย์เหล่านั้นมีกลุ่มเฮดฟันด์หรือสถาบันการเงินเข้าไปลงทุนอยู่เป็นจำนวนมหาศาล สำหรับโลหะเงินนั้นนักลงทุนสถาบันได้ถือครองมาเป็นระยะเวลานานและมีการซื้อสะสมมาเรื่อยๆ มูลค่าการซื้อขายจากสถาบันเหล่านี้มีมูลค่ารวมกันประมาณหลักพันถึงล้านล้านเหรียญสหรัฐ ทำให้ยากต่อการเข้ามาปั่นราคาของนักลงทุนรายย่อย
เมื่อไม่ใช่นักลงทุนจากเรดดิทแล้ว นักวิเคราะห์จึงเกิดคำถามขึ้นมาว่าแล้วอะไรคือสาเหตุที่ทำให้ราคาของแร่โลหะเงินปรับตัวขึ้น? ในช่วงเดือนสิงหาคมปี 2020 นักวิเคราะห์จากแบงก์ ออฟ อเมริกา (BofA) เคยคาดการณ์ไว้ว่าหากโจ ไบเดนได้รับเลือกให้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ นโยบายรักษ์โลกของเขาจะช่วยให้มูลค่าของแร่โลหะเงินขึ้นถึง $50 ได้ คิดเป็นสองเท่าของราคาแร่โลหะเงินในช่วงเวลานั้น สาเหตุที่ว่าทำไมการมาของโจ ไบเดนถึงสำคัญเพราะแร่โลหะเงินถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเทคโนโลยีพลังงานแสงอาทิตย์ ยิ่งโจ ไบเดนผลักดันนโยบายรักษ์โลกมากเท่าไหร่ ความต้องการโลหะเงินก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
จากการวิเคราะห์ราคาของโลหะเงิน เราจะเห็นว่ากราฟปรับตัวขึ้นมาสามวันติดต่อกัน วิ่งอยู่ในกรอบราคาขาขึ้น การปรับตัวลดลงมาแล้วดีดตัวขึ้นไปนั้นแสดงให้เห็นว่ามีอุปสงค์เข้ามารองรับอุปทานอยู่ตลอด สังเกตได้ว่าการที่ราคาสามารถดีดขึ้นลงอยู่ในกรอบอย่างเป็นระเบียบ หมายความว่านักลงทุนทั้งสองฝ่ายเห็นดีเห็นงามเหมือนกันว่าราคาของแร่เงินสมควรปรับขึ้น
เส้นค่าเฉลี่ย 50 วันสามารถตัดเส้นค่าเฉลี่ย 100 วันกลับขึ้นมาได้อีกครั้ง เป็นสัญญาณสนับสนุนขาขึ้นจากอินดิเคเตอร์ ก่อนหน้านี้เส้นทั้งสองก็สามารถยืนเหนือเส้นค่าเฉลี่ย 200 วันได้อยู่แล้ว หมายความว่าในระยะยาวขาขึ้นยังคงแข็งแกร่ง นอกจากนี้อินดิเคเตอร์อื่นๆ อย่าง MACD และ RSI ได้แสดงให้เห็นแล้วว่าราคาพร้อมที่จะปรับตัวกลับขึ้นไป เส้นค่าเฉลี่ยระยะสั้นของ MACD ตัดเส้นค่าเฉลี่ยระยะยาว ส่วน RSI ก็ยังมีพื้นที่ให้สามารถวิ่งกลับขึ้นไปในโซน overbought ได้และยังคงวิ่งอยู่ในกรอบราคาขาขึ้น
อย่างไรก็ตาม กราฟโลหะเงินยังมีแนวต้านใหญ่รอให้ทดสอบอยู่ที่ 29.91 (เส้นประสีแดง) ซึ่งเป็นบริเวณเดียวกันกับที่นักวิเคราะห์จาก BofA คาดการณ์ผลการเลือกตั้ง ดังนั้นการขึ้นยืนเหนือ $30 ได้จะยิ่งเรียกความมั่นใจจากนักลงทุนกระทิงได้มากขึ้น สิ่งที่ทองคำและโลหะเงินมีเหมือนกันคือทั้งสองสินทรัพย์จะได้แรงสนับสนุนจากการอ่อนค่าของดอลลาร์สหรัฐ ส่วนขาลงนั้นถ้าจะให้มีน้ำหนักมากพอ ราคาต้องปรับตัวลดลงต่ำกว่า $21.0 ซึ่งราคาต้องอาศัยแรงจากการสร้างรูปแบบ double-top
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอจนกว่ากราฟโลหะเงินจะยืนเหนือ $30 ได้
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอเข้าซื้อในจังหวะที่กราฟโลหะเงินย่อตัวลงมา
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง สามารถเข้าเข้าซื้อทันที เมื่อพิจารณาจากปัจจัยสนับสนุนระยะยาวที่ได้กล่าวถึงไปในบทความนี้
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $26.90
- Stop-Loss: $25.90
- ความเสี่ยง: $1
- เป้าหมายในการทำกำไร:$29.90
- ผลตอบแทน: $3
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3