- บริษัท GM จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันพุธที่ 10 กุมภาพันธ์ก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด
- คาดการณ์ตัวเลขผลกำไร: $36,100 ล้านเหรียญสหรัฐ
- คาดการณ์อัตราส่วนกำไรต่อหุ้น: $1.64
บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังแห่งเมืองดีทรอยต์ “เจนเนอรัล มอเตอร์” (NYSE:GM) หรือที่เรียกสั้นๆ ว่า “จีเอ็ม” สามารถดึงความสนใจมาจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์อื่นๆ ได้สำเร็จเมื่อยักษ์ใหญ่แห่งวงการยนต์ได้ประกาศจุดยืนว่าไม่ได้ละเลยโปรเจคการพัฒนารถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่กำลังเป็นกระแสหลักไปทั่วทั้งโลกในขณะนี้ เมื่อจีเอ็มได้ประกาศจุดยืนของตัวเองแล้ว หุ้นบริษัทจึงได้ปรับตัวขึ้น ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดใหม่แม้ว่ายอดขายรถยนต์พลังงานฟอซซิลจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิดก็ตาม
การประกาศจุดยืนครั้งนี้คือการวางเดิมพันของบริษัทว่าพวกเขาพร้อมที่จะท้าชนตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้ากับคู่แข่งคนสำคัญอย่างเทสลา (NASDAQ:TSLA) ที่ไม่ว่าจะทำอะไรตอนนี้ก็กลายเป็นกระแสข่าวไปทั่วทั้งในหนังสือพิมพ์และโซเชียลมีเดีย จีเอ็มมีแผนที่จะเอาตัวรอดในตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าด้วยการลงทุน $27,000 ล้านเหรียญสหรัฐไปจนถึงปี 2025 ในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า
แมรี่ บาร์รา CEO ของบริษัทจีเอ็มกล่าวถึงการเติบโตของตลาดรถยนต์พลังงานไฟฟ้าว่า
“บริษัทของเราและทีมงานยอมรับความท้าทายที่กำลังจะเกิดขึ้นในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่เชื่อกันว่าเป็นหนทางของโลกอนาคต กลยุทธ์ที่เราใช้ในการสู้ศึกครั้งนี้เราเรียกมันว่า “ยุทธการดาวกระจาย” จีเอ็มได้มีการแตกแบรนด์ แตกเซกเมนต์ในการทำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่รถยนต์รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหม่เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเราจะสามารถต่อสู้กับคู่ต่อสู้ของเราได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ”
กลยุทธ์สำคัญที่จีเอ็มเชื่อว่าทำให้ตัวเองได้เปรียบกว่าคู่แข่งคือระบบการขับเคลื่อนแบบแยกส่วนที่มีความยืดหยุ่นสูงซึ่งจีเอ็มได้พัฒนาโปรเจคนี้มาเป็นรุ่นที่สามเพื่อให้รองรับการใช้งานแบตเตอรี่ยูลิเธียมได้ จีเอ็มเชื่อว่าเทคโนโลยีนี้น่าจะเพียงพอในการต่อกรกับคู่แข่งในตลาดปัจจุบันและสามารถตอบโจทย์ได้ไม่ว่าจะเป็นรถบ้าน รถบรรทุกหรือแม้แต่รถหรูก็ตาม
หลังจากที่จีเอ็มได้ประกาศแผนการนี้ออกไป ดูเหมือนว่าจะได้รับความสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว มีข่าวว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังของญี่ปุ่น “ฮอนด้า” (NYSE:HMC) จะใช้แพลตฟอร์มดังกล่าวของจีเอ็มในการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในขณะเดียวกันก็มีข่าวมาจากบริษัทไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ว่าพวกเขาต้องการเป็นพาร์ทเนอร์กับจีเอ็มในการสร้างรถยนต์ไร้คนขับ
ความสามารถในการรักษาการทำกำไรในระยะยาว
นอกจากการผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแล้ว ความท้าทายอีกหนึ่งอย่างของบริษัทจีเอ็มคือความสามารถในการสร้างสภาพคล่องจากธุรกิจรถยนต์พลังงานสันดาปเพื่อนำเงินไปลงทุนในโปรเจครถยนต์พลังงานไฟฟ้า ในการรายงานผลประกอบการของช่วงเดือนตุลาคม - ธันวาคม จีเอ็มสามารถรายงานการเติบโตของยอดขายที่เพิ่มขึ้น 4.8% ถือเป็นการรายงานผลประกอบการไตรมาสสี่ที่ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2007
นอกจากนี้ ตัวเลขค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมโดยเฉลี่ยตลอดระยะเวลาสามเดือนนั้นก็ได้เพิ่มขึ้นเป็น $41,886 ชี้ให้เห็นว่ายอดขายรถยนต์ SUV อย่าง Chevrolet Tahoe และรถกระบะ GMC Sierra สามารถกินส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ยอดขายรถทั้งสองที่ดีขึ้นมานั้นสามารถช่วยชดเชยความเสียหายผลกระทบจากวิกฤตโควิดได้ในระดับหนึ่งเมื่อยอดขายตลอดทั้งปีของบริษัทลดลง 12%
นักวิเคราะห์เชื่อว่ายอดขายที่สามารถฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ ประกอบกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อการประกาศแนวทางสร้างรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของบริษัทเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้หุ้นจีเอ็มปรับตัวขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ล่าสุดหุ้นจีเอ็มมีราคาปิดอยู่ที่ $56.90 ปรับตัวขึ้นมาประมาณ 50% ในช่วงสิ้นปี 2020
วิลเลียม เซเลสกี นักวิเคราะห์จาก Argus Research กล่าวถึงสาเหตุว่าทำไมเขาจึงยกให้หุ้นจีเอ็มเป็นหุ้นน่าซื้อและควรถือเอาไว้ว่า
“เราเชื่อว่านักลงทุนในตอนนี้กำลังหันไปสนใจรถยนต์พลังงานไฟฟ้าที่มาแรงยี่ห้ออื่น โดยลืมไปว่าบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ก็ไม่ได้นิ่งดูดายนั่งดูบริษัทรุ่นใหม่ขึ้นมายึดครองตลาดของพวกเขาไปได้ง่ายๆ จีเอ็มยังมีข้อดีอีกหลายประการเช่นการได้ร่วมทุนกับบริษัทสัญชาติจีน ความสามารถในการบริหารจัดการเงินและแบตเตอรี่ยูลิเธียม”
โดยสรุปแล้ว
ขาขึ้นของหุ้นจีเอ็มในปัจจุบันแสดงให้เห็นแล้วว่าบริษัทมีแผนรองรับการเปลี่ยนแปลงเข้าสู่รถยนต์พลังงานไฟฟ้าเรียบร้อย แม้จะออกตัวช้าไปบ้างแต่ด้วยสถานะทางการเงินที่ดี เทคโนโลยีเพียบพร้อมและทีมงานที่มีประสบการณ์สร้างรถยนต์อยู่แล้ว ทำให้เราเชื่อว่าจีเอ็มจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นได้อีกจากการรายงานผลประกอบการในวันพุธนี้