สิ่งที่ตลาดลงทุนจะให้ความสนใจมากที่สุดในสัปดาห์นี้คงจะไม่มีประเด็นอะไรที่สำคัญเท่าการขึ้นรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ 46 อย่างเป็นทางการของนายโจ ไบเดนที่จะเกิดขึ้นในวันพุธที่ 20 มกราคม เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา เขาพึ่งจะประกาศแผนกระตุ้นเศรษฐกิจมูลค่า $1.9 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ ที่มีจุดประสงค์เพื่อช่วยเหลือผู้ที่ตกงานและธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโรคระบาด
ในขณะเดียวกัน นักลงทุนก็ยังคงจะติดตามข่าวการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 และประสิทธิภาพการต้านไวรัสของวัคซีนที่เริ่มมีข่าวให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้แล้ว ตลาดจะให้ความสำคัญกับการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ของบริษัทเอกชนในกลุ่มต่างๆ สิ่งที่นักลงทุนต้องการทราบมากที่สุดจากรายงานผลประกอบการคือข้อมูลตัวเลขที่จะช่วยยืนยันความแข็งแกร่งของธุรกิจที่พวกเขาได้ลงทุนไปว่าสามารถเอาตัวรอดจากวิกฤตโรคระบาดในช่วงคริสต์มาสที่ผ่านมาได้ดีเพียงใด ในบทความนี้เราจะมาดูการรายงานผลประกอบการของสามบริษัทที่น่าสนใจมากที่สุดประจำสัปดาห์นี้
1. Netflix
บริษัทเจ้าของธุรกิจผู้ให้บริการภาพยนตร์สตรีมมิ่งที่ใหญ่ที่สุดของโลกเน็ตฟลิกซ์ (NASDAQ:NFLX) จะรายงานผลประกอบการไตรมาส 4 ปี 2020 ในวันอังคารที่ 19 มกราคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าเน็ตฟลิกซ์ในไตรมาสนี้จะมีกำไรอยู่ที่ $6,620 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.32
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญกับการรายงานผลประกอบการนี้คือความสามารถในการเติบโตของเน็ตฟลิกซ์ การมาของคู่แข่งหลายเจ้าเริ่มทำให้ยอดผู้สมัครสมาชิกของเน็ตฟลิกซ์ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงแรกของการระบาด เมื่อวันศุกร์ที่แล้ว หุ้นเน็ตฟลิกซ์มีราคาซื้อขายล่าสุดอยู่ที่ $497.98 ปรับตัวลดลง 8% ในช่วงสามเดือนล่าสุดเมื่อเทียบดับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่ปรับตัวขึ้น 8% ภายในช่วงเวลาเดียวกัน
เน็ตฟลิกซ์จำเป็นต้องแสดงตัวเลขให้นักลงทุนเห็นให้ได้ว่าบริษัทจะยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางคู่แข่งอย่างดิสนีย์ (NYSE:DIS) ที่เริ่มเดินเกมรุก แผ่ขยายอาณาเขตบริการสตรีมมิ่งของตนออกไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วโลกและผู้ให้บริการอื่นๆ ในสหรัฐอเมริกาที่กำลังเติบโตแข่งขันกันอย่างดุเดือด
2. Intel
บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ชื่อดังของอเมริกาอินเทล (NASDAQ:INTC) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์ประเมินว่าอินเทลจะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรในไตรมาสนี้ได้ $17,460 ล้านเหรียญสหรัฐและสามารถรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $1.1 ต่อหุ้น
ในวันที่ 13 มกราคมที่ผ่านมา บริษัทอินเทลพึ่งประกาศแต่งตั้ง CEO คนใหม่นายแพท เกลซิงเกอร์ ขึ้นมาแทน CEO คนเดิมนายบ๊อบ สวานจากบริษัทวีเอ็มแวร์ (NYSE:VMW)
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสำคัญในการรายงานผลประกอบการครั้งนี้ไม่ใช่ตัวเลขผลประกอบการ แต่เป็นทิศทางของอินเทลในอนาคตภายใต้การนำของแม่ทัพคนใหม่ ตอนนี้อินเทลมีภัยคุกคามหลายด้านไม่ว่าจะเป็นการเริ่มเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่งมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะไม่สามารถผลิตชิปฯ ที่เร็วและเล็กกว่าคู่แข่งได้ ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น อินเทลพึ่งจะเสียลูกค้าคนสำคัญอย่างแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) ไปหลังจากที่แอปเปิลตัดสินใจหันไปทำชิปคอมพิวเตอร์ของตัวเอง
ล่าสุดนั้นหุ้นของอินเทลมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $57.58 ทำผลงานได้แย่กว่าเมื่อเทียบกับหุ้นบริษัทอื่นๆ ที่อยู่ในช่วงการฟื้นตัว ในปี 2020 พบว่าราคาซื้อขายของหุ้นอินเทลไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก แม้แต่ดัชนีเซมิคอนดักเตอร์ฟิลาเดเฟียที่ใช้วัดมูลค่ารวมของบริษัทผู้ผลิตชิปฯ ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้ 60% ภายในช่วงเวลาเดียวกัน
3. Schlumberger
บริษัทผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติรายใหญ่สลัมเบอเจอร์ (NYSE:SLB) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2020 ในวันศุกร์ที่ 22 มกราคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าบริษัทจะสามารถรายงานตัวเลขผลกำไรออกมาอยู่ที่ $5,230 ล้านเหรียญสหรัฐและจะสามารถรายงานตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นออกมาอยู่ที่ $0.17 ต่อหุ้น
เมื่อพูดถึงบริษัทผู้ผลิตน้ำมันแล้ว ผู้อ่านน่าจะเดาได้ไม่ยากว่าสลัมเบอเจอร์เองก็เป็นหนึ่งในผู้ที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันดิบตกต่ำจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 การแพร่ระบาดครั้งนี้ทำให้สลัมเบอเจอร์ต้องตัดงบประมาณในการดำเนินการบางส่วนลงเพื่อที่จะรักษาเงินสดในมือของตัวเองเอาไว้
ข่าวดีก็คือหุ้นของสลัมเบอเจอร์สามารถปรับตัวฟื้นกลับขึ้นมาได้มากกว่า 50% ภายในช่วงสามเดือนล่าสุดบนความหวังที่ว่าวัคซีนต้านโควิดจะมาช่วยให้สถานการณ์การแพร่ระบาดดีขึ้นได้ภายในปีนี้ หากว่าการรายงานผลประกอบการในวันที่ 22 มกราคมสามารถแสดงให้เห็นว่ามีการฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญได้ อาจเป็นสัญญาณบอกแก่นักลงทุนถึงภาพรวมของการฟื้นตัวในอุตสาหกรรมน้ำมันดิบ ราคาซื้อขายล่าสุดของหุ้นสลัมเบอเจอร์มีราคาอยู่ที่ $24.91 ปรับตัวขึ้นมามากถึง $14 เมื่อเทียบกับราคาซื้อขายในเดือนตุลาคม