การลงทุนในหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์มีความท้าท้ายเพิ่มขึ้นนับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในปี 2020 แม้ว่าสื่อต่างๆ จะประโคมข่าวว่าวิกฤตโรคระบาดจะทำให้ราคาอสังหาฯ ตกต่ำ แต่ความเป็นจริงก็คือราคาที่อยู่อาศัยกลับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพราะผู้คนมีความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีขนาดกว้างขึ้น รองรับการทำงานจากที่บ้านในยามที่ไม่สามารถเดินทางไปยังออฟฟิศได้
สถานการณ์เช่นนี้ทำให้หุ้นของธุรกิจโรงแรม ร้านค้าปลีกและผู้ให้เช่าออฟฟิศร่วงลงในขณะที่ราคาซื้อขายบ้าน บ้านเช่าและธุรกิจที่เกี่ยวกับการสร้างบ้านมีมูลค่าเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามเราพบว่าความคิดนี้ในช่วงไตรมาสที่แล้วเริ่มมีทิศทางที่เปลี่ยนไป เมื่อมีวัคซีนต้านโควิดออกมาแล้ว นักลงทุนจึงเริ่มมีความหวังการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจและเป็นสาเหตุให้พวกเขาเริ่มหันไปลงทุนซื้อหุ้นของห้างสรรพสินค้าที่ก่อนหน้านี้ได้รับผลกระทบจากการถูกสั่งปิดโดยภาครัฐ
ทันทีที่มีข่าวอนุมัติการใช้งานวัคซีนโควิด-19 ฉุกเฉิน หุ้นของกลุ่มเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาอย่าง Simon Property Group (NYSE:SPG) ดีดขึ้นทันทีมากกว่า 40% เช่นเดียวกับหุ้นบริษัทเจ้าของเครือโรงแรมชื่อดัง Marriott International (NASDAQ:MAR) ที่สามารถปรับตัวขึ้นได้มากกว่า 30% ภายในช่วงสามเดือนล่าสุด
แม้ว่าราคาซื้อขายของหุ้นทั้งสองจะยังอยู่ต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด 10% แต่การฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้เป็นการบ่งบอกว่ามีนักลงทุนที่เชื่อว่าความเลวร้ายของวิกฤตโควิดได้จบสิ้นลงแล้วสำหรับหุ้นกลุ่มนี้ อีกไม่นานความต้องการท่องเที่ยวจะกลับมาและก็จะเป็นหุ้นกลุ่มนี้นี่เองที่ปรับตัวขึ้นก่อนใครเพื่อน
เส้นทางการฟื้นตัวยังอีกยาวไกล
แม้ว่าหุ้นเหล่านี้จะดีดตัวกลับขึ้นมาในระยะสั้นได้อย่างน่าดูชม แต่เราก็ยังไม่เห็นว่านี่คือขาขึ้นที่อาจจะพัฒนากลายเป็นระยะยาว บางโรงแรมชื่อดังยังออกมายอมรับด้วยตัวเองว่าอาจจะไม่ได้เห็นการฟื้นตัวเต็มที่จนกว่าจะถึงปี 2023 ขนาดบิลล์ เกต ผู้สร้างบริษัทไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT) ยังออกมาบอกว่าต่อให้โควิดจะถูกควบคุมได้แล้ว แต่ธุรกิจท่องเที่ยวบางอย่างอาจจะไม่กลับมาอีกเลย
อาร์น โซเรนเซน CEO ของเครือโรงแรมแมริออตกล่าวกับนักลงทุนในเดือนพฤศจิกายนว่า
“ผมไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่าเวลาที่การฟื้นตัวเต็มที่จะกลับมาเมื่อไหร่ ตอนนี้เรายังคงต้องอดทนกันไปยาวๆ แต่ผมเชื่อว่าวันที่วิกฤตโควิดจบลง ธุรกิจการท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาอย่างรวดเร็ว”
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเงินของผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ว่าการฟื้นตัวของธุรกิจนั้นไม่สวยงามเหมือนราคาหุ้นเนื่องจากผู้ประกอบการรายย่อยขอผ่อนผันงดชำระค่าเช่าที่ไปก่อน ทำให้ตอนนี้ห้างต้องแบกหนี้รวมประมาณ $52,000 ล้านเหรียญสหรัฐมาตั้งแต่เดือนเมษายนปีที่แล้ว
แอนดี้ ไกรเซอร์ เจ้าของร่วมบริษัทที่ปรึกษาเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์นามเอแอนด์จีพาร์ทเนอร์แสดงความเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ตอนนี้ว่า
“อย่างเร็วที่สุดภายในไตรมาสที่สี่หรือปี 2020 เราจะมีปัญหาใหม่เข้ามาให้แก้นั่นก็คือวิกฤตฟองสบู่ ผมไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดแล้วผู้ประกอบการเหล่านั้นจะยังสามารถได้เช่าที่ต่อไปได้หรือไม่”
จำนวนเงินสำหรับชำระค่าเช่าที่ที่ต่างกันคือเหตุผลหลักที่ส่งให้บริษัทอย่าง CBL & Associates Properties (OTC:CBLEQ) และ Pennsylvania RE Investment Trust (NYSE:PEI) ต้องยื่นล้มละลายในเดือนพฤศจิกายน ในขณะที่ห้างบางแห่งอย่าง Simon กลับสามารถเก็บค่าเช่าที่ได้ 82% ในไตรมาสที่สามซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้น 72% จากไตรมาสที่แล้ว ในขณะเดี่ยวกัน Brookfield Property Partners (NASDAQ:BPY) สามารถเก็บค่าเช่าที่ได้ 75%
โดยสรุปแล้ว
ภาพตลาดซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในตอนนี้ที่มีทั้งขึ้นและลงสลับกันสะท้อนให้เห็นว่าการลงทุนโฆษณามหาศาลกับอสังหาริมทรัพย์ไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังระบาดไม่หยุดและเริ่มมีสายพันธุ์ปรากฎขึ้นมาในหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก