เดือนธันวาคมปี 2020 ถือเป็นอีกหนึ่งเดือนที่ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐฯ ต่างสามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี เมื่อเทียบกับขาขึ้นในเดือนเมษายนแล้วพบว่าดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมา 3.3% เอสแอนด์พี 500 3.7% และแนสแด็กปรับตัวขึ้นมากที่สุดอยู่ที่ 5.7% ขาขึ้นดังกล่าวส่งดาวโจนส์ และเอสแอนด์พีสามารถสร้างจุดปิดซึ่งเป็นจุดสูงสุดตลอดกาลได้ที่ 30,606 จุดและ 3,756 จุดตามลำดับ สรุปแล้วตลอดทั้งปี 2020 ดาวโจนส์ปรับตัวขึ้นมา 7.25% แอสแอนด์พี 500 ขึ้นมาอยู่ที่ 16.3% และแนสแด็กสามารถทผลงานได้ดีที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 ด้วยขาขึ้น 43.9%
ความเสี่ยงจากโรคระบาดโควิดยังเป็นธีมหลัก
ถึงตัวเลขปีจะเปลี่ยนจาก 2020 เป็น 2021 แล้ว แต่ธีมหลักที่ยังส่งผลกระทบต่อตลาดอยู่ยังคงเป็นการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่คร่าคนไปแล้วมากกว่า 1,800,000 คนทั่วโลก แม้ปีนี้จะมีความหวังเกี่ยวกับวัคซีนต้านโควิดเพิ่มมากขึ้น แต่ความกดดันใหม่ที่เชื่อว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นในปีนี้คือนโยบายการบริหารสหรัฐอเมริกาของประธานาธิบดีคนใหม่นายโจ ไบเดน
ย้อนความกันสักนิดเล็กน้อย หลังจากที่เชื้อไวรัสโคโรนาถูกค้นพบที่ประเทศหนึ่งทางเอเชีย จากนั้นการแพร่ระบาดก็เริ่มต้นขึ้น ลามมาสู่ยุโรป และอเมริกาได้สำเร็จ การมาถึงของโควิดส่งให้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงทันที 35.4% สร้างจุดต่ำสุดของปี 2020 ในวันที่ 23 มีนาคม ราคาซื้อขายน้ำมันดิบ WTI ล่วงหน้าลงไปสร้างจุดตลอดกาลที่อาจจะไม่มีวันลงไปถึงอีกเลยที่ราคาติดลบมากกว่า $40 ต่อบาร์เรล ตัวเลขจำนวนแท่นขุดเจาะที่เปิดทำงานวัดโดยเบเกอร์ ฮิวจ์มีตัวเลขลดลงจาก 800 แท่นในช่วงไตรมาสแรกเหลือ 244 แท่งในช่วงกลางเดือนสิงหาคม
เพื่อตอบโต้และพยุงเศรษฐกิจให้รอดพ้นวิกฤตโรคระบาดไปได้ ธนาคารกลางและรัฐบาลสหรัฐฯ ได้จัดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ออกมาเป็นชุดไม่ว่าจะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีมูลค่ารวมแล้วเกิน $4 ล้านล้านเหรียญสหรัฐโดยไม่สนว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งให้ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีร่วงลงจาก 1.92% เหลือ 0.92% ซึ่งตัวเลขผลตอบแทนฯ นี้เคยมีตัวเลขอยู่ที่ 2.47% ในวันที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นรับตำแหน่งในปี 2017
ไม่มีการค้าใดที่ไม่เกิดการแลกเปลี่ยน สิ่งที่รัฐบาล และธนาคารกลางสหรัฐฯ จำเป็นต้องแลกไปกับการช่วยเหลือเศรษฐกิจคือค่าเงินที่อ่อนค่า ตัวเลขอัตราการว่างงานที่ยังไม่สามารถกดลงให้ต่ำกว่า 5% ได้ (ตอนนี้มีตัวเลขอยู่ที่ 6.7% โดยประมาณ) จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกยังมีตัวเลขสวิงไปมาอยู่ระหว่าง 700,000 - 800,000 คน นอกจากนี้ธนาคารกลาวสหรัฐฯ ยังให้สัญญาว่าจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยยาวไปจนถึงปี 2022 เป็นอย่างน้อย
ใครได้ใครเสียจากสงครามโควิดในปี 2020 ที่ผ่านมา
การต่อสู้กับไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมาไม่ต่างอะไรกับการทำสงครามเลย เมื่อเทียบเป็นสงครามแล้วย่อมมีผู้ที่ได้ประโยชน์และเสียประโยชน์ซึ่งเราจะมาดูกันว่าใครเป็นผู้ได้และเสียประโยชน์จากสงครามครั้งนี้
ผู้ที่ได้ประโยชน์จากโควิด-19
1. กลุ่มบริษัทผู้ผลิตวัคซีนต้านโควิด-19
เชื่อว่าตลอดทั้งปี 2020 นักลงทุนจะต้องคุ้นชื่อกับบริษัทผู้ผลิตยาเหล่านี้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นไฟเซอร์ (NYSE:PFE) แอสตราเซเนกา (NASDAQ:AZN)ไบโอเอ็นเทค (NASDAQ:BNTX) และโมเดิร์นนา (NASDAQ:MRNA) ความสำเร็จในการผลิตวัคซีนส่งผลให้หุ้นของบริษัทพวกเขาล้วนแล้วแต่ปรับตัวขึ้นตามๆ กัน หุ้นไฟเซอร์ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี 2020 6% แอสตราเซเนกาปรับขึ้น 0.3% ไบโอเอ็นเทคทะยานขึ้น 140% ส่วนโมเดิร์นนาถือว่าปรับขึ้นมากที่สุด 434%
2. บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าผู้เป็นความหวังแห่งอนาคต: Tesla
หากพูดถึงบริษัทเทคโนโลยีในปีนี้แล้ว นอกจากกลุ่ม FAANG ที่ทำผลงานได้ดีอยู่แล้ว บริษัทที่ถูกพูดถึงเป็นอย่างมากจนกลายเป็นเทรนด์ของการผลิตรถยนต์ในปีนี้และเชื่อว่าจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นในปี 2021 คือบริษัทเทสลา (NASDAQ:TSLA) หุ้นของบริษัทจบปี 2020 ด้วยขาขึ้น 743% และเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดบนดัชนีแนสแด็ก 100 และเอสแอนด์พี 500 ด้วยผลงานขาขึ้นอย่างถล่มทลายนี้ส่งให้บริษัทเทสลามีมูลค่าตลอดรวมแล้ว $669,000 ล้านเหรียญสหรัฐมากกว่ามูลค่าตลาดของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดัง 9 แห่งรวมกัน
3. กลุ่มบริษัทค้าปลีก
อีกหนึ่งธุรกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่นและไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือกลุ่มผู้ค้าปลีกที่เปลี่ยนรูปแบบการค้าขายของตัวเองมาเน้นที่การค้าขายออนไลน์มากขึ้น ยักษ์ใหญ่ที่ครองวงการอยู่แล้วก็ยังสามารถรักษาบัลลังก์ได้อย่างแข็งแกร่งอย่างเช่นบริษัทอะเมซอน (NASDAQ:AMZN) ทาร์เก็ต (NYSE:TGT) และวอลล์มาร์ท (NYSE:WMT) ที่สามารถรายงานตัวเลขการขายออนไลน์ได้สูงทั้งในไตรมาสที่สามและสี่ของปี 2020
4. กลุ่มบริษัทผู้ให้บริการส่งสินค้าออนไลน์
สำหรับธุรกิจประเภทนี้เฟ็ดเอ็กซ์ (NYSE:FDX) ยังคงครองแชมป์ ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นเฟ็ดเอ็กซ์เติบโตขึ้นเกือบ 72% ตามมาด้วยบริษัทคู่แข่งยูพีเอส (NYSE:UPS) ที่ตลอดทั้งปีเติบโตขึ้น 43.9%
5. บริษัทผู้ให้บริการออนไลน์
นอกจากอะเมซอนจะครองความเป็นใหญ่ในแง่ของตลาดออนไลน์ แต่หนึ่งในผู้ที่สามารถเติบโตขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจจากการทำตลาดโดยเน้นไปที่การเปิดพื้นที่ให้กับผู้ขายสินค้าแฮนด์เมด Etsy (NASDAQ:ETSY), ถือว่าก้าวขึ้นมาแนวหน้าได้อย่างโดดเด่นด้วยขาขึ้น 300% ตามมาด้วย DoorDash (NYSE:DASH)ที่ปรับตัวขึ้นตลอดทั้งปี 40% Airbnb (NASDAQ:ABNB) แม้จะได้รับผลกระทบจากโควิดที่เข้ามาทำลายการท่องเที่ยว แต่ก็ยังสามารถทำ IPO จนทำขาขึ้นตลอดทั้งปีได้ 116% ได้ทันทีที่เปิด IPO
6. กลุ่มเทพหุ้นเทคฯ
หุ้นที่นับได้ว่าเป็น safe-haven สำหรับนักลงทุนปีนี้จะเป็นกลุ่มไหนไปไม่ได้นอกจากหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยี เมื่อพูดถึงกลุ่มนี้ก็ต้องเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีอยู่แล้วอย่างเช่นแอปเปิล (NASDAQ:AAPL) เอเอ็มดี (NASDAQ:AMD) เอ็นวีเดีย (NASDAQ:NVDA) อะเมซอนและไมโครซอฟต์ (NASDAQ:MSFT)
7. หุ้นของบริษัทที่อยู่กลุ่มผู้ผลิตแร่
การมาของโควิด-19 ทำให้นักลงทุนในปีที่แล้วช่วงแรกไม่กล้าที่จะลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เมื่อเป็นเช่นนั้นพวกเขาจึงหันไปลงทุนกับสินค้าโภคภัณฑ์ประเภทแร่โลหะอย่างเช่นทองคำ โลหะเงิน ทองแดง ฯลฯ เมื่อพูดถึงแร่เหล่านี้ ก็ต้องดูไปถึงบริษัทที่ขุดแร่เหล่านี้ขึ้นมาโดยตรง
บริษัทที่อยู่ในกลุ่มนี้และสามารถเติบโตได้อย่างโดดเด่นก็มี Freeport-McMoRan (NYSE:FCX) ที่ขุดทองคำและทองแดงเป็นหลัก หุ้นของบริษัทดังกล่าวเติบโตขึ้่นมา 98% และบริษัท Alcoa (NYSE:AA) ผู้ผลิตอลูมิเนียมที่ปรับตัวขึ้นประมาณ 98% ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2020
ผู้ที่เสียประโยชน์จากโควิด-19
1. กลุ่มบริษัทผู้ผลิตพลังงานโดยเฉพาะอย่างยิ่งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ
จากความต้องการน้ำมันที่หายไปเพราะโควิด-19 จนทำให้ราคาน้ำมันดิบลงไปสร้างจุดติดลบได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ได้เห็นบริษัทผู้ผลิตน้ำมันยักษ์ใหญ่ได้รับผลกระทบอย่างแสนสาหัสในปีที่แล้ว หุ้นของบริษัทผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของอเมริกาอย่างเอ็กซอน โมบิล (NYSE:XOM) ร่วงลงทันที 46% ในไตรมาสแรก ตามมาด้วยบริษัท Occidental Petroleum (NYSE:OXY) ที่ปรับตัวลดลงตลอดทั้งปี 58%
2. กลุ่มบริษัทสายการบิน
ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการตกต่ำของราคาน้ำมันและการไม่มีผู้โดยสารมาใช้บริการคือธุรกิจการบิน เมื่อเครื่องบินไม่สามารถขึ้นบินได้ ส่งผลให้ยอดคำสั่งซื้อเครื่องบินจากบริษัทผู้ผลิตเครื่องบินชื่อดังโบอิ้ง (NYSE:BA) ลดลง ประกอบกับเหตุการณ์เครื่องบินรุ่น 737 MAX ตกสองครั้งจนทำให้ชื่อเสียงของบริษัทเสียหายยิ่งส่งผลกระทบต่อผลประกอบการตลอดทั้งปี แม้ว่าในช่วงปลายปีที่แล้ว องค์การควบคุมการบินของสหรัฐฯ จะอนุญาตให้นำเครื่องบินรุ่นดังกล่าวสามารถกลับขึ้นมาบินได้ แต่ก็ทำให้หุ้นของโบอิ้งขึ้นมาได้เพียง 1.6% เท่านั้นในเดือนธันวาคมเมื่อเทียบกับขาลง 52% นับจากจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $446.01 ในช่วงต้นปี 2019
นอกจากนี้ก็เป็นบริษัทสายการบินหรือที่เกี่ยวกับข้องกับธุรกิจการบินที่ได้รับผลกระทบอย่างเช่นอลาสก้า แอร์ไลน์ (NYSE:ALK) และไรอันแอร์ โฮลดิ้ง (NASDAQ:RYAAY) เป็นต้น
สิ่งที่ต้องจับตาสำหรับการลงทุนในปี 2021
สมมุติว่าปีหน้าประชาชนชาวอเมริกันทุกคนได้รับวัคซีนต้านโควิดแล้ว การใช้ชีวิตอาจสามารถกลับมาเป็นปกติ การจับจ่ายใช้สอยกลับมา การจ้างงานกลับมามีตัวเลขเพิ่มมากขึ้น หากเป็นเช่นนั้นประกอบการเฟดที่ไม่คิดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยยาวไปจนถึงปี 2022 หมายความว่านี่คือข่าวดีในระยะยาวต่อตลาดหุ้น
แต่ความเสี่ยงใหญ่ที่นักลงทุนควรจับตาคือปีนี้สหรัฐฯ ต้องรับผลการกระทำจากการอัดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อต่อสู้กับโควิดในจำนวนมหาศาล กราฟผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่ปรับตัวลดลง 1% ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนเริ่มนำเงินที่มีจำนวนมากเกินไป ออกไปลงทุนกับตลาดเกิดใหม่ในต่างประเทศ การกระทำเช่นนั้นจะส่งผลให้ดอลลาร์สหรัฐยิ่งอ่อนมูลค่าลงซึ่งตลอดทั้งปี 2020 ดัชนีดอลลาร์สหรัฐได้อ่อนลงมาแล้ว 6.4% เมื่อราคาสำหรับการส่งออกปรับตัวขึ้นจะยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับอัตราเงินเฟ้อ