เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นที่ทำให้ราคาทองคำร่วงลงมาทีเดียวมากกว่า 5% ขาลงนี้ถือเป็นการลงที่แรงที่สุดในรอบเจ็ดปี ใช้เวลาไม่นานที่ราคาทองคำสามารถลงมาจากจุดสูงสุดในรอบสามสัปดาห์ลงมายังจุดต่ำสุดในรอบสี่เดือน
เมื่อได้ตามหาความจริงว่าอะไรคือสาเหตุของขาลงอย่างมหาศาลครั้งนี้ก็พบว่าไม่น่าแปลกใจเลยที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น นี่คือข่าวดีที่ดีสุดของปี 2020 ยิ่งกว่าผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เลยก็ว่าได้เมื่อบริษัทผู้ผลิตยาไฟเซอร์ (NYSE:PFE) ออกมาประกาศว่าวัคซีนต้านโควิดของเขาสามารถต่อกรกับโควิด-19 ได้ดีถึง 90% ในการทดสอบขั้นสุดท้าย หมายความว่าเหลืออีกเพียงส่งให้องค์การอาหารและยา (FDA) ของสหรัฐฯ ตรวจสอบและอนุมัติยาของไฟเซอร์และไบโอเอ็นเทค (NASDAQ:BNTX) ก็จะสามารถยืนยันได้แล้วว่าโลกจะได้ยารักษาโควิดที่ได้ผลจริงๆ ตัวแรกของโลกแล้วหรือไม่
ข่าวดีนี้ทำให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดเปลี่ยนไปทันที จากเดิมที่นักลงทุนยังคงกลัวความเสี่ยงหลังผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี พอได้ทราบข่าว พวกเขาก็จินตนาการไปถึงโลกที่กลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้วและความฝันนั้นก็ทำให้ตลาดลงทุนกล้ากลับเข้าไปถือสินทรัพย์เสี่ยง ทิ้งสินทรัพย์สำรองปลอดภัยอย่างไม่เหลียวแล ในขณะที่ทองคำร่วงลงมาเกิน $100 จุด ดัชนีดาวโจนส์กลับสามารถขึ้นได้เกิน 1,000 จุดภายในช่วงเวลาเดียวกันทันที
อย่างไรก็ตาม การที่ราคาทองคำยังคงนิ่งหลังจากลงไปสร้างจุดต่ำสุดที่ $1850 และดีดตัวกลับขึ้นมาอยู่ที่ $1880 โดยประมาณแสดงให้เห็นว่าขาลงเมื่อวันจันทร์นั้นเป็นเพียงการลงตามกระแสข่าวซึ่งไม่ใช่ความต้องการที่แท้จริงของตลาด เพราะแม้ว่าเราจะผ่านวิกฤตโควิดไปได้ นักลงทุนก็คงทราบดีว่าเรายังต้องตามแก้ปัญหาเศรษฐกิจกันต่อ ไหนจะเรื่องนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ เงินกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาลที่พิมพ์ออกมาเพื่อช่วยเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงแล้ว เรายังต้องอยู่กับโควิดต่อไปอีกอย่างน้อยจนถึงกลางปี 2021 เพราะไซเฟอร์สามารถผลิตยาขุดแรกได้เพียง 50 ล้านโดสเท่านั้นหลังจากได้รับการอนุมัติจาก FDA และกว่ายาตัวนี้จะถูกจำหน่ายอย่างแพร่หลายไปถึงประชาชนทุกคนในสหรัฐอเมริกาและกว่าจะออกไปถึงผู้คนทั่วโลกก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายเดือน แน่นอนว่าในช่วงเวลานี้เราก็ต้องหันกลับมามองความเป็นจริงที่ว่าตอนนี้สหรัฐอเมริกามียอดผู้ติดเชื้อโควิดรายวันเกิน 100,000 คนแล้ว สถานการณ์ล็อกดาวน์ในยุโรปเพื่อแก้ไขปัญหาโควิดก็ยังไม่ดีขึ้น แล้วทองคำจะถูกทิ้งไปอย่างไม่เหลียวแลเลยได้อย่างไร
จากการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะเห็นได้ว่าแม้ราคาทองคำจะลงมาแรงแต่ก็ยังไม่ได้กลับเข้าสู่สามเหลี่ยมลู่ลง นี่คือพฤติกรรมราคาที่แสดงให้เห็นว่าฝั่งอุปสงค์ยังเชื่อมั่นว่าทองคำยังสามารถคานความเสี่ยงของพวกเขาไปจนถึงวันที่วัคซีนจะออกมาสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการได้ ตราบใดที่ราคาทองคำยังไม่หลุดแนวรับที่ $1850 ลงไป เรายังคงมองว่าขาลงครั้งนี้เป็นเพียงเรื่องบังเอิญมากกว่าจะเป็นไปตามอุปสงค์อุปทานของตลาดจริงๆ
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอให้ราคาทองคำสามารถกลับขึ้นไปถึง $1975 ให้ได้ก่อนเพื่อยืนยันว่าไม่มีฝั่งเทขายเหลืออยู่ในตลาดแล้ว
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะวางคำสั่งซื้อหลังจากเห็นแท่งเทียนขาขึ้นแท่งใหญ่เกิดขึ้นมา
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะลองเสี่ยงวางคำสั่งซื้อตอนนี้ อย่างน้อยหากราคาสามารถดีดกลับขึ้นไปได้จริงๆ พวกเขาก็จะได้จุดเข้าที่มีอัตราความเสี่ยงต่ำแต่ผลตอบแทนดี ในทางตรงกันข้ามหากกราฟลงต่อ พวกเขาก็จะขาดทุนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $1868
- Stop-Loss: $1848 (จุดต่ำสุดของวันจันทร์)
- ความเสี่ยง: $20
- เป้าหมายในการทำกำไร:$1968 (เหนือจุดสูงสุดของวันจันทร์)
- ผลตอบแทน: $100
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:5
เป้าหมายในการทำกำไรถัดไป:$2068 (ต่ำกว่าจุดสูงสุดตลอดกาลเมื่อวันที่ 7 สิงหาคม)
- ผลตอบแทน: $200
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:10