ความหวังและความกลัวคือสิ่งที่จะขับเคลื่อนตลาดลงทุนในสัปดาห์นี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับตลาดทองคำและน้ำมันดิบ นี่คือสิ่งที่ตลาดตอบรับกับว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่จากพรรคเดโมแครตที่เชื่อว่าจะมีนโยบายการบริหารที่ต่างไปจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ คนปัจจุบันที่เหลือเวลาอยู่ในทำเนียบขาวอีกสองเดือน ความคาดหวังว่าตลาดหุ้นจะปรับตัวสูงขึ้นนี้เกิดขึ้นก่อนแล้วในตลาดลงทุนฝั่งเอเชียเมื่อดัชนีดาวโจนส์ฟิวเจอร์ปรับตัวขึ้น 1.5%
หากคืนนี้ และตลอดทั้งสัปดาห์ ตลาดลงทุนสหรัฐฯ เปิดโหมดพร้อมรับความเสี่ยงเต็มที่ เชื่อว่าดัชนีดอลลาร์สหรัฐได้มุ่งหน้าวิ่งลงสู้จุดต่ำสุด 91.55 และจะยิ่งเอื้อให้ราคาทองคำได้โอกาสปรับตัวขึ้นต่อ ก่อนหน้านี้ความร้อนแรงของทองคำต้องหยุดลงเนื่องจากดอลลาร์สหรัฐมีการแข็งค่าขึ้น ช่วงเวลาดังกล่าวดับฝันการกลับขึ้นไปยังจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $2,080 แต่ตอนนี้เมื่อดอลลาร์อ่อนค่า นักลงทุนจึงมีโอกาสเอาคืนกับช่วงเวลาที่เสียไปในไตรมาสที่สาม
ในขณะที่กำลังเขียนบทความนี้ ราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้าที่จะส่งมอบในเดือนธันวาคมที่เปิดให้ซื้อขายในตลาดฝั่งเอเชียพบว่าราคาทองคำสามารถวิ่งขึ้นไปทดสอบจุดสูงสุดในรอบแปดสัปดาห์ที่ $1,965.65 และเมื่อเวลา 12:00 AM ET (0500 GMT) ราคาทองคำมีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1,964.35 ปรับตัวขึ้นมา $12.65 หรือคิดเป็นเปอร์เซนต์อยู่ที่ 0.7% ตลอดสัปดาห์ที่แล้วราคาซื้อขายทองคำล่วงหน้านี้ปรับตัวขึ้นมา 3.8%
หากหันไปพิจารณาราคาซื้อขายของทองคำสปอตที่แสดงให้เห็นถึงราคาการซื้อทองคำแท่ง ณ ปัจจุบันจะพบว่ากราฟมีการปรับตัวขึ้นมา $12.05 คิดเป็น 0.6% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $1963.26 ซึ่งก่อนหน้านั้นไม่นานราคาก็พึ่งสร้างจุดสูงสุดใหม่ของวันได้ที่ $1,964.76
ทองคำกับการเฝ้ารอข่าวมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในยุคของไบเดน
นักลงทุนกำลังเฝ้าจับตาดูสถานการณ์ของทีมงานโจ ไบเดนที่จะมาทำงานในช่วงก่อนไบเดนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการ พวกเขาเชื่อว่าทีมงานของไบเดนจะกลับมาจี้ และเร่งเรื่องการเจรจาเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบสองที่ก่อนหน้านี้ถูกเกมการเมืองดึงเอาไว้โดยไม่แคร์ถึงสวัสดิภาพ และความสามารถในการเอาตัวรอดของประชาชนชาวอเมริกา
นางแนนซี่ เพโลซี่ ประธานสภาผู้แทนราษฎรให้สัมภาษณ์กับนักข่าวเมื่อวันศุกร์ว่าสิ่งแรกที่เธอจะเร่งดำเนินการหลังจากการเลือกตั้งผ่านไปแล้วคือการโน้มน้าวสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่อยู่ฝั่งรีพับลิกันให้เห็นแก่ส่วนรวมมาก่อนผลการเลือกตั้ง และรีบกลับมาเจรจาเพื่อให้ได้ตัวเลขที่แน่นอนสำหรับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยเร็ว นางแนนซี่ยังคงยืนยันคำเดิมว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบนี้จะต้องมีวงเงินอย่างน้อย $2,000,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งตอนนี้จำนวนยอดผู้ติดเชื้อรายวันของสหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้นเกิน 100,000 รายต่อวันไปแล้ว จำนวนเงินเยียวยาที่เราเห็นอาจจะมากกว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบแรกก็เป็นได้
แต่ถึงอย่างนั้นผู้นำในสภาสูงฝ่ายเสียงข้างมากของพรรครีพับลิกันนายมิตช์ แมคคอนเนลล์ยังคงยืนยันว่าจะคัดค้านข้อเสนอของนางแนนซี่ เพโลซี่หากว่าจำนวนเงินที่ยื่นขอมามากเกินไปโดยให้เหตุผลว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังอยู่ในระดับการฟื้นตัวที่ยอมรับได้เมื่อพิจารณาจากอัตราการว่างงานที่ลดลง หากทั้งสองฝ่ายยังมีความเห็นที่ต่างกันขนาดนี้ เรามองว่าการเจรจาเพื่อให้ได้ตัวเลขที่ลงตัวคงไม่อาจเกิดขึ้นได้โดยง่ายได้แต่หวังว่าการจะเข้ามาทำงานของไบเดนจะทำให้รีพับลิกันบางคนที่ก็ไม่ได้เห็นด้วยกับรูปแบบการทำงานของทรัมป์หันมาเข้าข้าง และโหวตให้เงินเยียวยาจำนวนนี้ผ่านการเห็นชอบของสภาเสียที
การเป็นประธานาธิบดีของไบเดน อาจไม่ใช่ข่าวดีสำหรับโอเปก
ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นในตลาดซื้อขายฝั่งเอเชียวันนี้เนื่องจากพรรคเดโมแครตไม่สามารถครองสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ สาเหตุที่เรื่องนี้เป็นข่าวดีสำหรับราคาน้ำมันเพราะโจ ไบเดนย้ำชัดว่าเขาต้องการพลังงานสะอาดมากกว่าพลังงานจากยุคหิน
กราฟราคาน้ำมันดิบ WTI วันนี้ปรับตัวขึ้น $1.05 คิดเป็น 2.8% มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $38.19 ต่อบาร์เรลเมื่อเวลา 12:00 AM ET (0500 GMT) ในช่วงกลางสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบ WTI ก็สามารถดีดตัวกลับขึ้นมาจากจุดต่ำสุด $33.64 ได้ 3.8%
ในขณะเดียวกันราคาน้ำมันดิบเบรนท์ซึ่งเป็นมาตรวัดราคาน้ำมันมาตรฐานทางโซนยุโรป และเอเชียก็ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน มีราคาซื้อขายอยู่ที่ $40.49 ขึ้นมา $1.04 หรือคิดเป็น 2.6% ตลอดสัปดาห์ที่แล้วราคาน้ำมันดิบเบรนท์สามารถวิ่งขึ้นมาได้ 5.3%
นาย Michael McCarthy หัวหน้านักวิเคราะห์ตลาดลงทุนแห่ง CMC Markets บอกกับสำนักข่าวรอยเตอร์ว่า
“ขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบเมื่อเช้านี้บ่งบอกว่าตลาดพร้อมกลับมารับความเสี่ยงกับว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ แม้จะไม่ใช่ข่าวดีของราคาน้ำมันมากนักแต่การที่เดโมแครตไม่สามารถคุมสภาได้ทั้งหมดโดยเฉพาะสภาสูงที่ยังเป็นของรีพับลิกัน ผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้นต่างออกไปจากที่ตลาดประเมินเอาไว้มาก เมื่อไม่มีฝ่ายใดสามารถคุมสภาได้อย่างเบ็ดเสร็จ เรื่องสงครามการค้า และการขึ้นภาษีจึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถโหวตผ่านได้ง่าย”
เรื่องที่นักลงทุนน้ำมันเป็นกังวลเกี่ยวกับการขึ้นมาของโจ ไบเดนคือนโยบาย “โลกสีเขียว” ของเขานั้นจะมีความเขียวเข้มข้นมากแค่ไหน จากความเห็นของเรา ในระยะยาวนโยบายโลกสีเขียวจะเห็นผลในระยะยาวหรือในช่วงหลังจากผ่านปีสองปีแรกไป แต่สำหรับระยะสั้นตอนนี้เรามองว่าการหยุดผลิตน้ำมันทันทีคงจะเป็นเรืองที่เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน อย่างมากที่สุดที่จะได้เห็นก็คืออาจจะไม่มีการอนุญาตให้เพิ่มการเปิดใช้งานแท่นขุดเจาะน้ำมันหรือผลิตน้ำมันเพิ่มเพื่อทำการค้าขายกับต่างประเทศ
อีกหนึ่งความกังวลที่นักลงทุนตลาดน้ำมันมีคือความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐฯ กับกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปก (OPEC) จะยังดีเหมือนเดิมอยู่หรือไม่ภายใต้นโยบายการดำเนินงานของโจ ไบเดน ตอนนี้โอเปกกำลังเป็นกังวลกับอนาคตของการผลิตน้ำมันเพิ่มเป็นอย่างมาก พวกเขาอยากผลิตน้ำมันเพิ่มแต่ก็ไม่อาจทำได้เพราะการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นในยุโรป และสหรัฐฯ อีกครั้ง แม้จะมีการประชุมใหญ่ของกลุ่มรออยู่ในระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน - 2 ธันวาคมนี้ แต่การประชุมระหว่างประเทศซาอุดิอาระเบีย รัสเซีย อิรัก สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบริษัทพลังงานชื่อดังบีพี (NYSE:BP) ในสัปดาห์นี้ก็น่าสนใจไม่น้อย
ธนาคารเพื่อการลงทุนชื่อดังอย่างโกลด์แมน แซคส์ แสดงความเห็นถึงสถานการณ์ของโอเปกตอนนี้เอาไว้ว่า
“ความท้าทายของกลุ่มโอเปกวันนี้ไม่ได้มีเพียงกำลังการผลิตที่ลดลงจาก 32 ล้านบาร์เรลในปี 2015 ลงมาเหลือ 24-25 ล้านบาร์เรลในปัจจุบันเท่านั้น แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ในยุโรปทำให้นักวิเคราะห์มองว่ากลุ่มโอเปกไม่มีทางเลือกนอกจากต้องยืดระยะเวลาการลดกำลังการผลิตน้ำมันออกไปอีก 3-6 เดือน นอกจากนี้พวกเขายังต้องเจอกับปริมาณน้ำมันดิบคงคลังที่เพิ่มขึ้นในระยะยาวอีก”
ยิ่งไปกว่านั้น การกลับมาของพรรคเดโมแครตครั้งนี้โอเปกต้องเป็นกังวลว่าไบเดนจะดึงข้อตกลงนิวเคลียร์ที่เคยใช้ในยุคของโอบามามาใช้กับอิหร่านอีกหรือไม่ เพราะก่อนหน้านี้ภายใต้การบริหารของทรัมป์เขาได้คว่ำบาตรอิหร่านไม่ให้ส่งออกน้ำมันมาเป็นเวลานานกว่าสองปี หากไบเดนปลดล็อกการคว่ำบาตรนี้หมายความว่าอิหร่านจะสามารถกลับมาผลิตน้ำมันเพิ่ม 1-2 ล้านบาร์เรลต่อวันได้อย่างสบายๆ