หนึ่งในสองเหตุการณ์สำคัญที่สุดประจำสัปดาห์อย่างการโต้วาทีระหว่างประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์และผู้ท้าชิง โตไปเดนได้เกิดขึ้นไปแล้วซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่นักลงทุนต่างเฝ้ารอจับตาทั้งก่อนการดีเบตและหลังการดีเบต
ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งรีพลับลิกันได้โจมตีผู้ท้าชิงโจ ไบเดนจากเดโมแครตด้วยประเด็นที่ลูกชายของไบเดนนายฮันเตอร์ที่เคยไปทำงานที่ประเทศจีนและยูเครน แน่นอนว่าไบเดนไม่ยอมโดนทรัมป์เล่นงานอยู่ฝ่ายเดียวเพราะที่ผ่านมาทรัมป์ก็มีข่าวฉาวให้เลือกใช้โจมตีอยู่ไม่น้อยอย่างเช่น การมองข้ามโควิดจนทำให้สหรัฐฯ กลายเป็นประเทศที่มียอดผู้ติดเชื้อเป็นอันดับหนึ่งของโลก ปัจจุบันสหรัฐฯ มียอดผู้เสียชีวิตจากโควิดรวมแล้ว 205,000 คนและมีติดเชื้ออีกมากกว่า 7 ล้านคนและตัวเลขนี้ยังคงเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
ประเด็นล่าสุดที่ทรัมป์โดนไบเดนโจมตีก็คือข่าวจากหนังสือพิมพ์ New York Times ที่เปิดเผยข้อมูลว่าประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เสียภาษีน้อยมากและตั้งใจที่จะปิดบังเอกสารเกี่ยวกับการยื่นภาษีในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมา มีเพียงข้อมูลในระหว่างปี 2016 และ 2017 เท่านั้นที่สามารถระบุได้ว่าทรัมป์จ่ายภาษีเพียง $750
การโต้วาทีครั้งนี้พึ่งเป็นการเริ่มต้นเท่านั้นเพราะในระหว่างเดือนตุลาคมที่กำลังจะมาถึงนี้จะเป็นเดือนที่เต็มไปด้วยความผันผวนในการเมืองสหรัฐฯ จนมั่นใจได้ว่าทุกสัปดาห์ที่ผ่านไปจะต้องเป็นที่จับตามองของประชาคมโลกอย่างแน่นอน นั่นหมายความว่าความไม่แน่นอนก็จะเพิ่มสูงขึ้นเป็นพิเศษด้วย ในความเห็นของเรามีความไม่แน่นอนอยู่สามประการที่นักลงทุนควรจับตามอง
-
ในยุคที่การสื่อสารเติบโตก้าวหน้าขึ้นอย่างก้าวกระโดดตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2016 บรรยากาศการเลือกตั้ง ความรู้ มุมมองที่มีต่อการบริหารประเทศย่อมแตกต่างและมีเหตุผลรองรับต่างกันออกไป ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าการโต้วาทีระหว่างทั้งคู่จะได้ผู้ชนะขาดรอย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง
-
นักลงทุนจะมีความคิดที่เอนเอียงไปอยู่กับฝั่งผู้ชนะการดีเบตครั้งนี้มากขึ้นเมื่อได้ผู้ชนะแล้ว ประกอบการผลสำรวจที่นักลงทุนคนนั้นๆ ได้รับข้อมูลก่อนการเลือกตั้งจริงวันที่ 3 พฤศจิกายน
-
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าหลังจากรู้ผลการเลือกตั้งไปแล้วจะส่งผลกระทบอย่างไรต่อตลาด โจ ไบเดนพูดชัดเจนแล้วว่าเขาจะขึ้นภาษีกับบริษัทและเหล่าคนรวยในขณะที่ทรัมป์ทุกคนก็ทราบดีว่านโยบายของเขาคือการเอาใจและเอื้อประโยชน์ให้กับนักลงทุนรายใหญ่
ในระยะสั้นนักลงทุนจะซื้อและขายตามพาดหัวข่าวที่ออกมาโดยไม่อิงจากปัจจัยพื้นฐานในระยะยาว ดังนั้นความผันผวนที่เกิดขึ้นจึงเป็นความผันผวนระยะสั้น ในช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงสูงเช่นนี้ทุกคนย่อมจับตาดูไปที่สินทรัพย์สำรองปลอดภัยอย่างทองคำแม้ว่าโดยหลักแล้วนักลงทุนเชื่อว่าทองคำจะมีโอกาสปรับตัวขึ้นมากกว่าลง แต่กราฟทองคำทางเทคนิคก็เป็นหลักฐานชั้นดีที่บอกว่าขาขึ้นกำลังอยู่ช่วงเริ่มต้นที่จะกลับมา
ถึงกระนั้นในระยะกลางราคาทองคำยังอยู่ในแนวโน้มขาลงเพราะการหลุดกรอบไซด์เวย์สามเหลี่ยมลงมานั้นทำให้นักลงทุนขาขึ้นเสียขวัญไปเป็นจำนวนมาก แต่หากดูกราฟราคาทองคำรายชั่วโมงจะเห็นว่าทองคำสามารถทำรูปแบบ double-bottom เสร็จเรียบร้อยแล้วซึ่งนั่นนำมาสู่ขาขึ้น 2% เมื่อวานนี้ก่อนการเลือกตั้ง ในวันนี้ต้องมาดูกันว่าทองคำจะสามารถกลับขึ้นไปอยู่ในโซนราคาระหว่าง $1,950 - $1,910 ได้อีกครั้งหรือไม่
กลยุทธ์การเทรด
เทรดเดอร์ที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงตามแนวโน้มระยะกลาง ในขณะที่แนวโน้มระยะยาวยังคงปรับตัวสูงขึ้น
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอให้ขาขึ้นระยะสั้นตอนนี้ร่วงลงมาก่อนจึงจะตัดสินใจตามขาลงในแนวโน้มระยะกลางลงไป
เทรดเดอร์ที่รับความเสี่ยงได้สูง จะวางคำสั่งซื้อเพราะรู้ดีว่าการโต้วาทีครั้งนี้มีความเสี่ยงสูงซึ่งย่อมส่งผลดีกับทองคำที่เป็นสินทรัพย์สำรองตามธรรมชาติอยู่แล้ว แม้จะมีโอกาสที่กราฟจะออกมาไม่เป็นไปตามที่คาดแต่นักลงทุนกลุ่มนี้ก็รับได้เพราะมีแผนบริหารความเสี่ยงรองรับอยู่แล้ว
ตัวอย่างการเทรด
- จุดเข้า: $1,893 (จุดที่ราคาหลุดกรอบสามเหลี่ยมลงมา)
- Stop-Loss: $1,888
- ความเสี่ยง: $5
- เป้าหมายในการทำกำไร:$1,923
- ผลตอบแทน: $30
- อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:6