มีข่าวดีสำหรับราคาน้ำมันโลกก็คือปริมาณพลังงานเชื้อเพลิงคงคลังของสหรัฐอเมริกากำลังลดลง ข้อมูลจาก EIA เปิดเผยเมื่อวันพุธที่ผ่านมาถึงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญของปริมาณน้ำมันดิบคงคลังและพลังงานเชื้อเพลิงคงคลัง แต่ปัญหาก็คือตลาดไม่ได้ตอบสนองต่อประกาศดังกล่าวอย่างจริงจังเลย ราคาน้ำมัน WTI กระเตื้องขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นและยังค่อนข้างแกว่งอยู่บริเวณ $43 ต่อบาร์เรล
แม้จะมีการใช้งานมากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ปริมาณน้ำมันดิบคงคลังปัจจุบันก็ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วง 5 ปีที่ผ่านมาอยู่กว่า 15% และปริมาณพลังงานเชื้อเพลิงคงคลังก็สูงว่าค่าเฉลี่ยดังกล่าว 5% เช่นกัน
มากไปกว่านั้น ภาพรวมของอุปสงค์ไม่ได้มีการฟื้นตัวขึ้นเลย ในความจริงแล้วสถาบันการเงินหลักหลายแห่งได้กลับคำคาดการณ์เรื่องความต้องการน้ำมันว่าเป็นขาลงซึ่งเป็นความเห็นตรงกันกับสิ่งที่บทความนี้กำลังจะเตือนสติว่า การฟื้นตัวจากโรคระบาดและการปิดตัวของเศรษฐกิจไม่ได้ขยับขึ้นได้เร็วอย่างที่เราหวังไว้
การผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกของสหรัฐฯ ต้องหยุดทำงาน
ปัจจุบันศูนย์กลางของอุตสาหกรรมน้ำมันในสหรัฐฯ กำลังเผชิญหน้ากับเฮอริเคนลอรา ที่ทำให้เกิดดินถล่มใกล้บริเวรคาเมรอน รัฐลุยเซียนา ซึ่งจัดเป็นเฮอริเคนที่ความรุนแรงระดับ 4 เฮอริเคนดังกล่าวสามารถสร้างความเสียหายให้แก่พื้นที่รอยต่อระหว่างเท็กซัสและลุยเซียนาซึ่งเป็นแหล่งกลั่นน้ำมันกว่าหนึ่งในสามของสหรัฐอเมริกา
ปัจจุบัน ศักยภาพการกลั่นกว่า 2.2 ล้านบาร์เรล หรือ 15% ได้หยุดการทำงานลงเพื่อเตรียมรับมือกับเฮอริเคนดังกล่าว และราว 84% ของการผลิตน้ำมันดิบในสหรัฐฯ ในบริเวรชายฝั่งเม็กซิโก (1.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน) ก็ได้หยุดการทำงานเช่นกัน การผลิตก๊าซธรรมชาติจากบริเวรดังกล่าวที่ราว 1.65 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันก็หยุดทำงานเช่นกัน และท่าเรือที่เดิมทีส่งออกน้ำมันดิบกว่า 40% ของยอดส่งออกทั้งหมดในปีนี้ก็ปิดตัวชั่วคราวเช่นกัน
ผลกระทบจากพายุเฮอริเคนมีความเป็นไปได้อย่างไรบ้าง
เมื่อพูดถึงเรื่องความสามารถในการส่งออกนักวิเคราะห์คาดว่าท่าส่งน้ำมันฮิวสตันจะเป็นท่าเรือที่ได้รับผลกระทบจากเฮอริเคนน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับท่าส่งน้ำมันโบว์มอนท์ที่สามารถส่งออกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ได้ 13% จากตัวเลขในช่วง 6 เดือนของปี 2020 ท่าโบว์มอนท์อาจได้รับรับกระทบจนเกิดความเสียหายกับระบบไฟฟ้าและทำให้กระบวนการทำงานบางขั้นตอนต้องหยุดชะงัก
เชื่อว่าการผลิตน้ำมันที่อยู่นอกชายฝั่งจะกลับมาหลังจากที่เฮอริเคนผ่านอ่าวเม็กซิโก แม้พายุเฮอริเคนที่มีความรุนแรงระดับ 4 จะสามารถทำให้กระบวนการขุนนอกชายฝั่งต้องหยุดชะงักแต่แพลตฟอร์มที่อยู่นอกชายฝั่งเหล่านี้ถูกออกแบบมาให้มีความแข็งแกร่งสามารถทนทานต่อภัยธรรมชาติได้อยู่แล้ว ดังนั้นกระบวนการผลิตน่าจะกลับมาได้อย่างรวดเร็วหลังจากที่พายุจากไป อย่างไรก็ตามความเสียหายที่เกิดขึ้นจะแสดงออกมาในรายงานพลังงานปิโตรเลียมรายสัปดาห์ของ EIA สัปดาห์หน้า
นอกจากนี้ในรายงานสัปดาห์หน้าอาจจะมีระบุถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับบริเวณที่มีผู้คนอยู่อาศัยแต่รายงานจะมีตัวเลขเป็นเช่นไรจะขึ้นอยู่กับว่าการผลิตน้ำมันสามารถกลับมาได้เมื่อไหร่ แน่นอนว่าการหายไปของน้ำมันดิบ WTI จำนวน 1.6 ล้านบาร์เรลอาจทำให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้นได้ชั่วคราวก่อนที่กลับลงมาอยู่ในสภาพเดิมอีกครั้ง
อ้างอิงข้อมูลจาก GasBuddy ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงโดยเฉลี่ยอาจเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10 เซนต์ต่อแกลลอนซึ่งจะเพิ่มขึ้นในภูมิภาคทางใต้ของประเทศเป็นหลัก โรงกลั่นน้ำมันที่อยู่ในบริเวณดังกล่าวอาจจะเจอปัญหาเพียงแค่ไฟดับและระบบจะสามารถกลับมาทำงานได้หลังจากพายุผ่านไป อย่างไรก็ตามเราอาจจะได้เห็นผลกระทบที่ส่งผลยาวกว่านั้นกับโรงกลั่นน้ำมันบางแห่งอย่างที่เคยเกิดขึ้นตอนที่มีเฮริเคนฮาร์วี่ในปี 2017 ตอนนั้นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหญ่ถึงขนาดสร้างน้ำท่วมขึ้นมาได้และโรงกลั่นน้ำมันของซาอุดิอารามโกนาม Motiva คือผู้ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดและใช้เวลานานกว่าจะกลับมาได้
มีนักวิเคราะห์หลายคนพยายามเปรียบเทียบความรุนแรงของพายุลอราเข้ากับเฮอริเคนหลายๆ ลูกที่เคยเกิดขึ้นในสหรัฐเมริกาอย่างเช่นเฮอริเคนริต้าซึ่งเคยเกิดขึ้นในพื้นที่เดียวกันในปี 2005 จนทำให้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิงเพิ่มสูงขึ้นไปทั่วประเทศ โรงกลั่นน้ำมันบางแห่งได้รับผลกระทบจากพายุเฮอริเคนดังกล่าวและพายุแคทรีนาซึ่งกว่าจะกลับมาได้ต้องใช้เวลาซ่อมอยู่หลายเดือน ในตอนนั้นผู้คนเกิดความกลัวว่าจะไม่มีพลังงานใช้เพื่อเพิ่มความอบอุ่นในหน้าหนาวซึ่งดังให้ราคาน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นในปี 2005
อย่างไรก็ตามผลกระทบที่เกิดจากพายุเฮอริเคนลอราเมื่อเทียบกับข้อมูลที่พูดถึงไปก่อนหน้านี้ถือว่ามีความกังวลน้อยกว่าในอดีตมากนัก แม้ตอนนี้โรงกลั่นน้ำมันจะได้รับผลกระทบจากพายุหรือน้ำท่วมแต่ปริมาณพลังงานที่เก็บเอาไว้ในคลังยังถือว่าสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 5 ปีหลังสุดถึง 5% เนื่องจากปริมาณความต้องการน้ำมันที่ลดลงในปีนี้เพราะโควิด ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการกลั่นน้ำมันอื่นๆ อย่างเช่นน้ำมันเครื่องบินเจ็ตหรือน้ำมันดีเซลยังอยู่ในระดับที่ถือว่ามากกว่าปกติ สรุปสั้นๆ ก็คือราคาน้ำมันอาจจะขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ ขึ้นอยู่กับว่าโรงกลั่นน้ำมันและกรบวนการผลิตอื่นๆ ได้รับผลกระทบมากน้อยแค่ไหนแต่จะไม่ถึงกับต้องใช้คำว่า “ขาดแคลน” ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาวแน่นอน
โดยสรุปแล้ว
ตลาดควรคาดการณ์ถึงการชะงักระยะสั้นในการผลิตน้ำมันดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียม อย่างไรก็ตาม ปริมาณน้ำมันดิบและพลังงานเชื้อเพลิงคงคลังที่สูงมากในปัจจุบันก็จะใช้งานทดแทนในส่วนนี้ไปได้ ตัวเลขในสัปดาห์หน้าและสัปดาห์ถัดไปอาจจะมีการเปลี่ยนแปลง ฉะนั้นควรรอสังเกตการขยับที่จะเกิดขึ้น ในที่สุดแล้ว เฮอริเคนลอราก็ได้ช่วยปรับความสมดุลของความต้องการตลาดเมื่อมีการใช้งานทรัพยากรที่อยู่ในคลังไป พวกเราก็หวังด้วยว่าความเสียหายจากเฮอริเคนดังกล่าวที่จะเกิดกับชีวิตและทรัพย์สินนั้นจะน้อยที่สุด