ผมสังเกตมานานแล้วว่าตลาดหุ้นไทยนั้นเป็นตลาดที่มีการเก็งกำไรสูงมากเมื่อเทียบกับตลาดหุ้นของประเทศอื่น ๆ ที่ผมรู้จัก การเก็งกำไรของนักลงทุนส่วนบุคคลของไทยนั้น ว่าที่จริงแทบไม่เคยหายไปเลยยกเว้นก็แต่ในช่วงหลังวิกฤติต้มยำกุ้งในปี 2540 ที่ เศรษฐกิจไทยแทบจะล่มสลายและคนที่บาดเจ็บหนักที่สุดก็คือผู้ประกอบการและนักธุรกิจที่มีเงินมากพอที่จะเล่นหุ้นหรือลงทุนได้ในช่วงเวลานั้น ซึ่งก็ทำให้การ “เก็งกำไร” ในตลาดหุ้นหายไปอย่างสิ้นเชิงเป็นเวลาหลายปีก่อนที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวและเกิด “นักลงทุนรุ่นใหม่” ที่มีความหลากหลายมากขึ้นและรวมถึง คนชั้นกลางที่ “กินเงินเดือน” และเริ่มสะสมเงินหรือความมั่งคั่งเพื่อการเกษียณ
นักลงทุนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีจำนวนมากขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนรุ่นเก่า พวกเขานอกจากจะมีเงินแล้วก็ยังมี “ความรู้” ในการลงทุนมากขึ้นมาก พวกเขารู้ว่าในการเลือกหุ้นลงทุน เราจะต้องวิเคราะห์และประเมินหามูลค่าที่แท้จริงและเปรียบเทียบกับราคาหุ้น ถ้าหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากหรือที่เรียกว่ามี Margin Of Safety สูง เขาก็จะซื้อ ถ้าราคาหุ้นแพงกว่าก็ต้องขาย นี่คือหลักการที่เรียกว่า “Value Investing” ที่กลายเป็น “กระแสหลัก” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงทุกวันนี้ แต่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นเองนั้น นอกจากจะไม่หายไปแล้ว มันยังเฟื่องฟูมากและอาจจะมากกว่าการเก็งกำไรในอดีตด้วยซ้ำ เหตุผลนั้นน่าจะมีหลายอย่าง
ประการแรกนั้น การเก็งกำไรเป็นเรื่องที่อยู่ใน “ยีน” ของคนตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของมนุษย์ที่เรียกว่า “Homo Sapiens” โดยที่คนที่ไม่กล้าหรือไม่ชอบเสี่ยงนั้นมักจะเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ยากและน้อยกว่าคนที่ชอบเสี่ยง ประการต่อมาก็คือ ระบบที่เอื้ออำนวยให้กับการเล่นเก็งกำไร นั่นก็คือ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นที่ต่ำมากและการที่ไม่เสียภาษีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้น การซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นและ “ทำกำไร” ได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่คนอยากทำ
และสุดท้ายก็คือ “ทางเลือก” ในการเก็งกำไรอย่างอื่นในประเทศไทยนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลตอบแทนดีเท่ากับการ “เล่นหุ้น” ในภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันโดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อการเกษียณ การเก็งกำไรที่สูงมากนั้น ทำให้หุ้นที่ถูกเก็งกำไรมีราคาปรับตัวสูงกว่าปกติ ยิ่งมีคนเข้ามาซื้อขายมากก็ยิ่งทำให้ราคาปรับตัวสูงเพิ่มขึ้น และนั่นทำให้หุ้นมักจะมีราคาแพงกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นเหล่านั้นและเก็บไว้ยาวนาน โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงมาตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นก็จะสูง เราก็อาจจะขาดทุนได้มาก
ดังนั้น VI ที่มุ่งมั่นและระมัดระวังจึงควรจะรู้ว่าตลาดหุ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนหรือหุ้นตัวไหนกำลังมีการเก็งกำไรสูงมากน้อยแค่ไหน อะไรคือ “สัญญาณ” ที่แสดงว่ามีการเก็งกำไรที่ร้อนแรงอยู่ในตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวแพงผิดปกติและเราควรที่จะหลีกเลี่ยง
สัญญาณการเก็งกำไรข้อแรกก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้น นับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้วที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงลิ่วเทียบกับตลาดในประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน ล่าสุดในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ทั้ง ๆ ที่มีปัญหาโควิด-19 ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันก็ยังสูงถึง 6 ถึง 7 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดในอาเซียนและสูงกว่าตลาดหุ้นอย่างเวียตนามถึง 10 เท่า ดังนั้น ถ้าดูจากข้อมูลนี้ก็แสดงว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมมีการเก็งกำไรสูงมาก ซึ่งนั่นมักจะนำไปสู่สัญญาณข้อสองก็คือ
ค่า PE ของตลาดโดยรวมนั้นสูงเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณเกือบ 20 เท่าและสูงกว่าของประเทศในอาเซียนที่ประมาณ 15-16 เท่าทั้ง ๆ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นต่ำเกือบที่สุดที่ประมาณ 3% ต่อปีในระยะหลายปีที่ผ่านมาเทียบกับการเติบโตของประเทศรอบบ้านที่อยู่ที่ประมาณ 5-7% ต่อปี
การเก็งกำไรนั้น มักจะทำกับหุ้นขนาดเล็กหรือกลางที่มีหุ้น Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดน้อย เพราะนั่นมักจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นได้เร็วและมากในระยะเวลาอันสั้น การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเหล่านี้มักจะสูง บางทีเป็น 10% ในวันเดียวโดยไม่ได้มีข่าวดีเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงในระดับวันละ 4-5% กลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น การที่เราเห็นหุ้นขนาดเล็กและกลางที่มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง นั่นก็เป็นสัญญาณว่าการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยนั้นสูงมาก ราคาของหุ้นตัวเล็กจำนวนมากก็คงแพงกว่าปกติ
สัญญาณตัวที่สี่ที่จะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กหรือกลางที่มี Free Float น้อยก็คือ การที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงที่สุด 10 อันดับประจำวันนั้นประกอบไปด้วยหุ้นดังกล่าวหลายตัวทุกวัน ลองคิดดูว่าคนเข้ามาเล่นเก็งกำไรในหุ้นเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนถ้าหุ้นเหล่านั้นมีมูลค่าหุ้นหมุนเวียนในตลาดเพียง 2-3 พันล้านบาท แต่เพียงวันเดียวกลับมีคนซื้อขายหุ้น 2-3 พันล้านบาทไปแล้ว ซึ่งนั่นเท่ากับว่าหุ้นทุกหุ้นถูกซื้อและอาจจะขายทันทีภายในวันเดียวกัน และปริมาณการซื้อขายนั้นมีมูลค่าเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดหลายแสนล้านบาท และนี่ก็คือหุ้นที่เก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง ถ้าเราไม่ใช่นักเก็งกำไรก็ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านี้
ช่วงที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงมากนั้น บางทีดัชนีตลาดโดยรวมก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูง สาเหตุก็เพราะว่าพื้นฐานโดยรวมของเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะขนาดใหญ่นั้นอาจจะไม่ดีเลย ในสถานการณ์แบบนี้ นักเก็งกำไรที่มีจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยก็มักจะต้องมองหาหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่จะนำมาเล่นเก็งกำไร หุ้นที่เขามักใช้เป็นเครื่องมือก็คือหุ้นที่ยังดูดีในแง่ผลประกอบการอยู่และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเก็งกำไรได้นั่นก็คือ
มันเป็นหุ้นขนาดเล็กหรือกลางที่มี Free Float ต่ำที่สามารถถูกลากหรือ “ต้อนเข้ามุม” เพื่อดันราคาให้สูงขึ้นไปได้มากได้ ดังนั้น เมื่อเราพบว่าในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ดีอย่างในปัจจุบันแต่กลับมีหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่ยังวิ่งเอาวิ่งเอา เหตุผลหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะว่ามีนักเก็งกำไรกลุ่มใหญ่ที่ต้องหาหุ้นมาเล่นเก็งกำไรและเข้ามา “รุมเล่น” ในหุ้นตัวนั้นหรือกลุ่มนั้น
สัญญาณที่หกที่มักจะบอกว่าการเก็งกำไรกำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดก็คือการที่เราพบว่ามีหุ้นที่มีราคาพุ่งไปสู่จุดที่เรียกว่าเป็นหุ้น “Impossible” เพราะราคาหุ้นขึ้นไปสูงแบบ “เป็นไปไม่ได้” ในระยะยาวต่อไปอีกซัก 2-3 ปี ตัวอย่างเช่น เป็นหุ้นที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์เช่นสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้อง หรือบริการที่เป็นโภคภัณฑ์เช่น การเดินเรือหรือแม้แต่การบิน หุ้นเหล่านี้ ในภาวะที่ตลาดดีสินค้ามีราคาแพงก็จะได้กำไรมาก แต่ในยามตกต่ำ ราคาก็จะร่วงลงมามากจนทำให้ขาดทุนได้
ประเด็นก็คือ ในยามที่ดีนั้น คนก็มักจะเข้ามา “เก็งกำไร” ซื้อหุ้นกันมากจนราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วซึ่งจะดึงดูดให้คนเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจความถูกแพงและไม่คิดว่าอนาคตกำไรจะต้องลดลงมาก แต่ในไม่ช้าราคาโภคภัณฑ์นั้นจะต้องตกต่ำลงเพราะจะมีการผลิตเพิ่มขึ้นมาก คำว่า “Impossible” ของผมก็คือ ราคาหุ้นอาจจะสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นในภาวะปกติเกิน 4-5 เท่าขึ้นไป
สุดท้ายที่เป็นสัญญาณการเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็คือเรื่องของปริมาณและจำนวนของหุ้น IPO หรือหุ้นเข้าตลาดใหม่ ถ้ามีจำนวนมากและราคาหุ้นที่เข้าไปซื้อขายในวันแรกวิ่งขึ้นไปสูงมาก บวกไปหลายสิบหรือเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจากราคา IPO นั่นก็แปลว่าการเก็งกำไรในช่วงนั้นของตลาดหรือกลุ่มหุ้นหรือตัวหุ้นนั้นสูง ราคาของหุ้นก็มักจะแพงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น
การวิเคราะห์ระดับของการเก็งกำไรในตลาดหุ้นหรือกลุ่มหุ้นหรือตัวหุ้นนั้น นักลงทุนที่ระมัดระวังควรจะต้องสังเกตและติดตามเป็นระยะ การดูปริมาณและโดยเฉพาะการปรับตัวขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่มักจะชี้ว่าหุ้นหรือกลุ่มหุ้นนั้นมีการเก็งกำไรสูงมากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้น เราก็ต้องดูข้อมูลเชิงคุณภาพว่า กิจการเป็นอย่างไร เป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือเป็นสินค้าที่คนเลือกซื้อ
เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ราคามากน้อยแค่ไหน บริษัทเป็นผู้นำหรือไม่และโดดเด่นแค่ไหน สุดท้ายก็มาถึง Story หรือเรื่องราวการเติบโตในอนาคตที่ถูกนำมา “ขาย” ให้กับนักลงทุน เราต้องดูว่าสมเหตุผลและเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยเฉพาะที่คนพูดมีผลประโยชน์อยากให้หุ้นวิ่งขึ้นไปมาก ๆ ในหลาย ๆ กรณีผมเองก็มักจะเลี่ยงลงทุนในหุ้นที่ดูแล้วมีสัญญาณของการเก็งกำไรสูงผิดปกติซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงผิดปกติ ผมอาจจะเป็น VI รุ่นเก่าที่ไม่ยอมซื้อหุ้นแพงหรือแพงจัดไม่ว่าบริษัทจะดูดีแค่ไหนซึ่งในบางครั้งก็ทำให้พลาดการลงทุนในหุ้นที่ทำกำไรได้เร็วและง่ายไปบ่อย ๆ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมเลือกที่จะเป็น
นักลงทุนรุ่นใหม่เหล่านั้นมีจำนวนมากขึ้นมากเมื่อเทียบกับนักลงทุนรุ่นเก่า พวกเขานอกจากจะมีเงินแล้วก็ยังมี “ความรู้” ในการลงทุนมากขึ้นมาก พวกเขารู้ว่าในการเลือกหุ้นลงทุน เราจะต้องวิเคราะห์และประเมินหามูลค่าที่แท้จริงและเปรียบเทียบกับราคาหุ้น ถ้าหุ้นราคาต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงมากหรือที่เรียกว่ามี Margin Of Safety สูง เขาก็จะซื้อ ถ้าราคาหุ้นแพงกว่าก็ต้องขาย นี่คือหลักการที่เรียกว่า “Value Investing” ที่กลายเป็น “กระแสหลัก” ของการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมาจนถึงทุกวันนี้ แต่การเก็งกำไรในตลาดหุ้นเองนั้น นอกจากจะไม่หายไปแล้ว มันยังเฟื่องฟูมากและอาจจะมากกว่าการเก็งกำไรในอดีตด้วยซ้ำ เหตุผลนั้นน่าจะมีหลายอย่าง
ประการแรกนั้น การเก็งกำไรเป็นเรื่องที่อยู่ใน “ยีน” ของคนตั้งแต่ยุคเริ่มต้นของมนุษย์ที่เรียกว่า “Homo Sapiens” โดยที่คนที่ไม่กล้าหรือไม่ชอบเสี่ยงนั้นมักจะเอาตัวรอดและเผยแพร่เผ่าพันธุ์ได้ยากและน้อยกว่าคนที่ชอบเสี่ยง ประการต่อมาก็คือ ระบบที่เอื้ออำนวยให้กับการเล่นเก็งกำไร นั่นก็คือ ค่าธรรมเนียมการซื้อขายหุ้นที่ต่ำมากและการที่ไม่เสียภาษีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์ ดังนั้น การซื้อ ๆ ขาย ๆ หุ้นและ “ทำกำไร” ได้อย่างรวดเร็วจึงเป็นสิ่งที่คนอยากทำ
และสุดท้ายก็คือ “ทางเลือก” ในการเก็งกำไรอย่างอื่นในประเทศไทยนั้นดูเหมือนว่าจะไม่ได้ผลตอบแทนดีเท่ากับการ “เล่นหุ้น” ในภาวะเศรษฐกิจและสังคมในปัจจุบันโดยเฉพาะสำหรับคนที่มีเงินเหลือเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อการเกษียณ การเก็งกำไรที่สูงมากนั้น ทำให้หุ้นที่ถูกเก็งกำไรมีราคาปรับตัวสูงกว่าปกติ ยิ่งมีคนเข้ามาซื้อขายมากก็ยิ่งทำให้ราคาปรับตัวสูงเพิ่มขึ้น และนั่นทำให้หุ้นมักจะมีราคาแพงกว่ามูลค่าพื้นฐานมาก ถ้าเราเข้าไปซื้อหุ้นเหล่านั้นและเก็บไว้ยาวนาน โอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงมาตามพื้นฐานที่ควรจะเป็นก็จะสูง เราก็อาจจะขาดทุนได้มาก
ดังนั้น VI ที่มุ่งมั่นและระมัดระวังจึงควรจะรู้ว่าตลาดหุ้นหรือหุ้นกลุ่มไหนหรือหุ้นตัวไหนกำลังมีการเก็งกำไรสูงมากน้อยแค่ไหน อะไรคือ “สัญญาณ” ที่แสดงว่ามีการเก็งกำไรที่ร้อนแรงอยู่ในตลาดหุ้นซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวแพงผิดปกติและเราควรที่จะหลีกเลี่ยง
สัญญาณการเก็งกำไรข้อแรกก็คือ ปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันของตลาดหุ้น นับเป็นเวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปีมาแล้วที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ของไทยสูงลิ่วเทียบกับตลาดในประเทศเพื่อนบ้านที่มีระดับการพัฒนาที่ใกล้เคียงกัน ล่าสุดในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ทั้ง ๆ ที่มีปัญหาโควิด-19 ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ต่อวันก็ยังสูงถึง 6 ถึง 7 หมื่นล้านบาท สูงที่สุดในอาเซียนและสูงกว่าตลาดหุ้นอย่างเวียตนามถึง 10 เท่า ดังนั้น ถ้าดูจากข้อมูลนี้ก็แสดงว่าตลาดหุ้นไทยโดยรวมมีการเก็งกำไรสูงมาก ซึ่งนั่นมักจะนำไปสู่สัญญาณข้อสองก็คือ
ค่า PE ของตลาดโดยรวมนั้นสูงเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณเกือบ 20 เท่าและสูงกว่าของประเทศในอาเซียนที่ประมาณ 15-16 เท่าทั้ง ๆ ที่การเติบโตทางเศรษฐกิจและกำไรของบริษัทจดทะเบียนนั้นต่ำเกือบที่สุดที่ประมาณ 3% ต่อปีในระยะหลายปีที่ผ่านมาเทียบกับการเติบโตของประเทศรอบบ้านที่อยู่ที่ประมาณ 5-7% ต่อปี
การเก็งกำไรนั้น มักจะทำกับหุ้นขนาดเล็กหรือกลางที่มีหุ้น Free Float หรือหุ้นที่หมุนเวียนในตลาดน้อย เพราะนั่นมักจะทำให้หุ้นวิ่งขึ้นได้เร็วและมากในระยะเวลาอันสั้น การเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเหล่านี้มักจะสูง บางทีเป็น 10% ในวันเดียวโดยไม่ได้มีข่าวดีเป็นพิเศษ การเปลี่ยนแปลงในระดับวันละ 4-5% กลายเป็นเรื่องปกติ ดังนั้น การที่เราเห็นหุ้นขนาดเล็กและกลางที่มีหุ้นหมุนเวียนในตลาดน้อย มีราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรง นั่นก็เป็นสัญญาณว่าการเก็งกำไรของนักลงทุนรายย่อยนั้นสูงมาก ราคาของหุ้นตัวเล็กจำนวนมากก็คงแพงกว่าปกติ
สัญญาณตัวที่สี่ที่จะชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่ามีการเก็งกำไรในหุ้นตัวเล็กหรือกลางที่มี Free Float น้อยก็คือ การที่ปริมาณการซื้อขายหุ้นสูงที่สุด 10 อันดับประจำวันนั้นประกอบไปด้วยหุ้นดังกล่าวหลายตัวทุกวัน ลองคิดดูว่าคนเข้ามาเล่นเก็งกำไรในหุ้นเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนถ้าหุ้นเหล่านั้นมีมูลค่าหุ้นหมุนเวียนในตลาดเพียง 2-3 พันล้านบาท แต่เพียงวันเดียวกลับมีคนซื้อขายหุ้น 2-3 พันล้านบาทไปแล้ว ซึ่งนั่นเท่ากับว่าหุ้นทุกหุ้นถูกซื้อและอาจจะขายทันทีภายในวันเดียวกัน และปริมาณการซื้อขายนั้นมีมูลค่าเท่ากับบริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีมูลค่าตลาดหลายแสนล้านบาท และนี่ก็คือหุ้นที่เก็งกำไรกันอย่างสุดเหวี่ยง ถ้าเราไม่ใช่นักเก็งกำไรก็ควรหลีกเลี่ยงหุ้นเหล่านี้
ช่วงที่ตลาดหุ้นมีการเก็งกำไรสูงมากนั้น บางทีดัชนีตลาดโดยรวมก็ไม่ได้ปรับตัวขึ้นสูง สาเหตุก็เพราะว่าพื้นฐานโดยรวมของเศรษฐกิจและบริษัทจดทะเบียนโดยเฉพาะขนาดใหญ่นั้นอาจจะไม่ดีเลย ในสถานการณ์แบบนี้ นักเก็งกำไรที่มีจำนวนมากในตลาดหุ้นไทยก็มักจะต้องมองหาหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่จะนำมาเล่นเก็งกำไร หุ้นที่เขามักใช้เป็นเครื่องมือก็คือหุ้นที่ยังดูดีในแง่ผลประกอบการอยู่และมีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเก็งกำไรได้นั่นก็คือ
มันเป็นหุ้นขนาดเล็กหรือกลางที่มี Free Float ต่ำที่สามารถถูกลากหรือ “ต้อนเข้ามุม” เพื่อดันราคาให้สูงขึ้นไปได้มากได้ ดังนั้น เมื่อเราพบว่าในภาวะที่ตลาดหุ้นไม่ดีอย่างในปัจจุบันแต่กลับมีหุ้นบางกลุ่มหรือบางตัวที่ยังวิ่งเอาวิ่งเอา เหตุผลหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะว่ามีนักเก็งกำไรกลุ่มใหญ่ที่ต้องหาหุ้นมาเล่นเก็งกำไรและเข้ามา “รุมเล่น” ในหุ้นตัวนั้นหรือกลุ่มนั้น
สัญญาณที่หกที่มักจะบอกว่าการเก็งกำไรกำลังขึ้นสู่จุดสูงสุดก็คือการที่เราพบว่ามีหุ้นที่มีราคาพุ่งไปสู่จุดที่เรียกว่าเป็นหุ้น “Impossible” เพราะราคาหุ้นขึ้นไปสูงแบบ “เป็นไปไม่ได้” ในระยะยาวต่อไปอีกซัก 2-3 ปี ตัวอย่างเช่น เป็นหุ้นที่ขายสินค้าโภคภัณฑ์เช่นสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกี่ยวข้อง หรือบริการที่เป็นโภคภัณฑ์เช่น การเดินเรือหรือแม้แต่การบิน หุ้นเหล่านี้ ในภาวะที่ตลาดดีสินค้ามีราคาแพงก็จะได้กำไรมาก แต่ในยามตกต่ำ ราคาก็จะร่วงลงมามากจนทำให้ขาดทุนได้
ประเด็นก็คือ ในยามที่ดีนั้น คนก็มักจะเข้ามา “เก็งกำไร” ซื้อหุ้นกันมากจนราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงลิ่วซึ่งจะดึงดูดให้คนเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มขึ้นไปอีกเรื่อย ๆ โดยไม่ได้สนใจความถูกแพงและไม่คิดว่าอนาคตกำไรจะต้องลดลงมาก แต่ในไม่ช้าราคาโภคภัณฑ์นั้นจะต้องตกต่ำลงเพราะจะมีการผลิตเพิ่มขึ้นมาก คำว่า “Impossible” ของผมก็คือ ราคาหุ้นอาจจะสูงกว่ามูลค่าพื้นฐานที่ควรจะเป็นในภาวะปกติเกิน 4-5 เท่าขึ้นไป
สุดท้ายที่เป็นสัญญาณการเก็งกำไรในตลาดหุ้นก็คือเรื่องของปริมาณและจำนวนของหุ้น IPO หรือหุ้นเข้าตลาดใหม่ ถ้ามีจำนวนมากและราคาหุ้นที่เข้าไปซื้อขายในวันแรกวิ่งขึ้นไปสูงมาก บวกไปหลายสิบหรือเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ขึ้นไปจากราคา IPO นั่นก็แปลว่าการเก็งกำไรในช่วงนั้นของตลาดหรือกลุ่มหุ้นหรือตัวหุ้นนั้นสูง ราคาของหุ้นก็มักจะแพงกว่าพื้นฐานที่ควรจะเป็น
การวิเคราะห์ระดับของการเก็งกำไรในตลาดหุ้นหรือกลุ่มหุ้นหรือตัวหุ้นนั้น นักลงทุนที่ระมัดระวังควรจะต้องสังเกตและติดตามเป็นระยะ การดูปริมาณและโดยเฉพาะการปรับตัวขึ้นลงของราคาหุ้นเป็นสัญญาณเบื้องต้นที่มักจะชี้ว่าหุ้นหรือกลุ่มหุ้นนั้นมีการเก็งกำไรสูงมากน้อยแค่ไหน หลังจากนั้น เราก็ต้องดูข้อมูลเชิงคุณภาพว่า กิจการเป็นอย่างไร เป็นสินค้าโภคภัณฑ์หรือเป็นสินค้าที่คนเลือกซื้อ
เพราะปัจจัยที่ไม่ใช่ราคามากน้อยแค่ไหน บริษัทเป็นผู้นำหรือไม่และโดดเด่นแค่ไหน สุดท้ายก็มาถึง Story หรือเรื่องราวการเติบโตในอนาคตที่ถูกนำมา “ขาย” ให้กับนักลงทุน เราต้องดูว่าสมเหตุผลและเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน อย่าเชื่ออะไรง่าย ๆ โดยเฉพาะที่คนพูดมีผลประโยชน์อยากให้หุ้นวิ่งขึ้นไปมาก ๆ ในหลาย ๆ กรณีผมเองก็มักจะเลี่ยงลงทุนในหุ้นที่ดูแล้วมีสัญญาณของการเก็งกำไรสูงผิดปกติซึ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปสูงผิดปกติ ผมอาจจะเป็น VI รุ่นเก่าที่ไม่ยอมซื้อหุ้นแพงหรือแพงจัดไม่ว่าบริษัทจะดูดีแค่ไหนซึ่งในบางครั้งก็ทำให้พลาดการลงทุนในหุ้นที่ทำกำไรได้เร็วและง่ายไปบ่อย ๆ แต่นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมเลือกที่จะเป็น
บทความนี้เผยแพร่ครั้งแรกบนเว็บไซต์ของสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) ThaiVI.org
♦5 เหตุผลที่แม้ว่าไทยจะควบคุมไวรัสได้ดี แต่...เศรษฐกิจเรายังอาจหดตัวหนักสุดในเอเชีย