หลังจากร่วงลงไปสร้างจุดต่ำสุดของตลาดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมตลาดหุ้นสหรัฐฯ สามารถขึ้นมาได้ตลอดจนถึงตอนนี้ที่เราได้ก้าวเข้าสู่ไตรมาสที่ 3 แล้วด้วยความหวังและความเชื่อที่ว่าจุดที่แย่ที่สุดของการหดตัวทางเศรษฐกิจได้ผ่านไปเรียบร้อย ล่าสุดนักลงทุนในตลาดหุ้นได้ทยอยเข้าซื้อหุ้นสหรัฐฯ ทั่วทั้งกระดานจากความมั่นใจของตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรที่เพิ่มขึ้นมากถึง 4.8 ล้านตำแหน่ง
ดัชนีหลักทั้ง 3 อย่างดาวโจนส์ S&P 500 และ NASDAQ ต่างพากันปรับตัวสูงขึ้นกันทั้งหมด ดาวโจนส์มีราคาปิดสุดท้ายเมื่อวันพฤหัสบดีสูงขึ้น 92 จุดหรือ 0.36% ส่วน S&P 500 ปรับตัวขึ้น 0.45% มีราคาอยู่ที่ 3,130.0 และดัชนี NASDAQ สามารถขึ้นได้มากที่สุด มีราคาอยู่ที่ 10,207.63 ปรับตัวขึ้นมา 0.52% ซึ่งหากนับตั้งแต่จุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 23 มีนาคมจนถึงปัจจุบันพบว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ ขึ้นมาแล้วทั้งสิ้น 36% และเพื่อติดตามขาขึ้นนี้ต่อเราจึงได้คัดหุ้น 3 ตัวที่น่าสนใจมาให้คุณผู้อ่านอีกเช่นเคย
1. Tesla (NASDAQ:TSLA)
หุ้นของบริษัทผู้ผลิตรถยนต์พลังงานไฟฟ้าเทสลา (NASDAQ:TSLA) กลายเป็นที่จับตามองอีกครั้งหลังจากทางบริษัทออกมากล่าวว่าตัวเลขผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาบริษัทเทสลารายงานว่าได้ส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าจำนวน 90,650 คันให้กับลูกค้าภายในระยะเวลา 3 เดือนล่าสุดมาจนถึงสิ้นเดือนมิถุนายน
จากผลสำรวจของนักวิเคราะห์บลูมเบิร์กกล่าวว่า “ในไตรมาสแรกเทสลาสามารถขายรถได้จำนวน 88,400 คัน ดังนั้นไตรมาสนี้เขาจึงคาดการณ์โดยเฉลี่ยไว้ว่าเทสลาจะสามารถขายรถได้จำนวน 83,000 คันแต่ก็อย่างที่เราทราบกันว่าตัวเลขที่แท้จริงมากกว่าที่เขาคาดการณ์ไปมากถึง 7,650 คัน”
หุ้นเทสลาทะยานขึ้นทันที 8% จากข่าวนี้ ปัจจุบันมีราคาสูงสุดอยู่ที่ $1,377.99 และมีราคาล่าสุดอยู่ที่ $1371.58 ซึ่งเป็นตัวเลขที่ทะลุระดับเป้าหมาย $1,250 ที่ Wedbush Securities ตั้งเอาไว้ได้เรียบร้อย ในขณะที่ยอดขายรถพลังงานไฟฟ้าของเทสลากำลังได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ชื่อดังของสหรัฐฯ อย่างฟอร์ด (NYSE:F) และเจนเนอรัล มอเตอร์ (NYSE:GM) ในไตรมาสที่ 3 คาดว่าจะลดลง
2. Walgreens
วอลล์กรีนส์ (NASDAQ:WBA) ร้านยาเชนที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของประเทศสหรัฐอเมริกาจะรายงานผลประกอบการบริษัทไตรมาสที่ 3 ปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคมก่อนตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ $1.20 ต่อหุ้นและมีกำไรรวมตลอดทั้งไตรมาสอยู่ที่ $34,300 ล้านเหรียญสหรัฐ
บริษัทวอลล์กรีนส์ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับผลพลอยได้จากความกังวลของนักลงทุนในช่วงโควิด-19 ระบาดจนนำไปสู่การล็อกดาวน์และหันไปถือหุ้นที่อยู่ในกลุ่มการแพทย์ แต่จากการรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ทำให้นักลงทุนเกิดความสงสัยว่าขาขึ้นนี้จะยังอยู่ต่อไปหรือไม่ในเศรษฐกิจที่กลับมาเปิดตามปกติแล้ว
เพราะก่อนหน้านี้วอลล์กรีนส์ก็ประสบปัญหาการเพิ่มยอดขายและการลดต้นทุนอยู่แล้วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับคู่แข่งรายใหญ่อย่างแอมะซอน (NASDAQ:AMZN) แม้วอลล์กรีนส์จะพยายามเปลี่ยนกลยุทธ์เช่นขายบนรูปแบบดิจิทัล ฟรีค่าจัดส่ง มีพาร์ทเนอร์ในเรื่องของการขนส่งใหม่ๆ แล้วก็ตาม ในปี 2020 นี้หุ้นวอลล์กรีนส์ปรับตัวลดลง 29% และมีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $43.16
3.Bed Bath & Beyond
บริษัทค้าปลีกเครื่องใช้ภายในบ้านยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ “เบด บาธ แอนด์ บียอนด์ (บีบีแอนด์บี)” (NASDAQ:BBBY) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 1 ในวันพุธที่ 8 กรกฎาคมหลังจากตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดว่าตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้น (EPS) จะอยู่ที่ $1.25 ต่อหุ้นและมียอดขายลดลง $1,390 ล้านเหรียญสหรัฐ
บีบีแอนด์บีกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อและกำลังมีความพยายามอย่างมากในการปรับรูปแบบการทำธุรกิจใหม่เพื่อให้บริษัทสามารถอยู่รอดในโลกแห่ง E-commerce ได้ ก่อนหน้านี้บริษัทได้มีการเปลี่ยนตัวผู้อำนวยการในหลายๆ แผนกและรวมไปถึงตำแหน่งใหญ่ๆ ของบริษัท นอกจากนี้บีบีแอนด์บีได้ประกาศแผนที่จะยกเลิกรร้านตัวแทนจำหน่ายหลายแห่งทั่วประเทศและกำลังพิจารณาผลงานของร้านตัวแทนฯ อีก 1,500 แห่ง
เชื่อว่ารายงานผลประกอบการรอบนี้จะช่วยทำให้บริษัทได้เห็นข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคเชิงลึกที่เปลี่ยนไปและสามารถตัดสินใจได้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังที่เหลืออยู่จะสามารถดำเนินการอย่างไรเพื่อช่วยให้สถานการณ์ของบีบีแอนด์บีดีขึ้น ตลอดทั้งปี 2020 หุ้นเบด บาธ แอนด์ บียอนด์ปรับตัวลดลงมาแล้ว 37% ปัจจุบันมีราคาอยู่ที่ $10.76