ผลประชุม FOMC เมื่อคืนไม่ได้สร้างเซอร์ไพร์สเชิงบวก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสภาพคล่องใน ระบบการเงินไม่ได้ตึงตัวเหมือนช่วง มี.ค.-เม.ย. 63 และเศรษฐกิจส่งสัญญาณฟื้นจากการ Reopen โดยเฟดยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.00-0.25% และจะซื้อพันธบัตรรัฐบาลรวมถึง MBS ที่ 8 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯต่อเดือน และ 4 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯต่อเดือน ตามล าดับ ส่วนคาดการณ์ GDP2563 ปรับลงเป็ น -6.5% ก่อนจะฟื้นตัว5.0% ในปี 2564 และ 3.5% ในปี 2565 ขณะที่Dot Plot สะท้อนว่าเฟดจะยังคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ ไปจนึงปี2565
เราประเมินผลกระทบเป็นกลางต่อ SET INDEX กลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Yield ต่ำมีโอกาสกลับมาได้รับความน่าสนใจในระยะสั้น เช่น โรงไฟฟ้า (GPSC/ BGRIM/ SUPER), สื่อสาร (ADVANC/ INTUCH), ขนส่ง (BEM), ไฟแนนซ์ (MTC/ SAWAD/ KTC), รวมถึงกองทุน โครงสร้างฟื้นฐาน (DIF
ขณะที่ ภาวะเงินบาทแข็งค่ามีโอกาสเกิดขึ้นต่อไป กลุ่มผู้นำเข้าจะได้ประโยชน์โดยตรง ส่วน กลุ่มพลังงานจะได้ประโยชน์ทางอ้อมผ่าน FX Gain ตรงข้ามกับกลุ่มส่งออกที่จะได้รับผลลบ โดยเฉพาะชิ้นส่วนอเิล็กทรอนิกส์เรายังแนะนำให้หลีกเลี่ยงไปก่อน
เฟดคงนโยบายการเงินทั้งดอกเบี้ยและวงเงินการซื้อสินทรัพย์ต่อเดือน
เฟดยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.00-0.25% โดยประเมินว่าวิกฤติด้านสาธารณสุขยังเป็นความ เสี่ยงระยะสั้นและปานกลางต่อการฟื้นตัวของเงินเฟ้อและการจ้างงาน และเพื่อสนับสนุน สภาพคล่องและการไหลเวียนของสินเชื่อไปยังภาคครัวเรือนและธุรกิจ เฟดจะเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งพันธบัตรรัฐบาลและ MBS อย่างน้อยในระดับปัจจุบันที่ 8 หมื่นล้านดอลล่าร์ สหรัฐฯต่อเดือน และ 4 หมื่นล้านดอลล่าร์สหรัฐฯต่อเดือน ตามลำดับ นอกจากนี้ยังพร้อมใช้เครื่องมือทางการเงินทั้งหมดที่มีเพื่อให้การจ้างงานฟื้นตัวสู่ระดับปกตอิีกครั้ง ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้ จะช่วยลดความกังวลในการซื้อสินทรัพย์ของเฟดที่ชะลอตัวในระยะหลัง ว่ากำลังถึงจุดเปลี่ยนในการเร่งซื้อสินทรัพย์ หรืออาจมีการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินไป ผ่อนคลายน้อยลงหรือไม่ ขณะเดียวกัน ประธานเฟดยังให้ความเห็นว่าจะไม่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกระยะ จนกว่าอัตราเงินเฟ้อ PCE จะเข้าสู่ระดับ 2% อย่างยั่งยืน ผลจากการคงระดับการซื้อสินทรัพย์ จะทำให้ขนาดงบดุลของเฟดเพิ่มขึ้น 1.4 ล้านล้านดอล ล่าร์สหรัฐฯต่อปี จากปัจจุบันที่ 7.1 ล้านล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ
Dot Plot สะท้อนดอกเบี้ยเฟดยังต่ำถึงปี 2565
เฟดกลับมาประกาศคาดการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจและ Dot Plot อีกครั้ง โดยค่ากลางของ คาดการณ์ GDP2563 อยู่ที่-6.5% ก่อนจะฟื้นตัว 5.0% ในปี 2564 และ 3.5% ในปี 2565 ขณะที่อัตราการว่างงานและเงินเฟ้ อ (Core PCE) ปีนี้คาดที่ 9.3% และ 1.0% และปี หน้าคาดที่ 6.5% และ 1.5% ตามลำดับ ส่วน Dot Plot ที่ตลาดให้ความสำคัญอย่างมาก เงื่อนไขด้านเศรษฐกิจในปัจจุบัน สะท้อนว่าเฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปจนถึงปี 2565 โดยมีคณะกรรมการเพียง 2 ท่านใน 17 ท่าน ที่เห็นควร ให้เริ่มขึ้นดอกเบี้ยในปีดังกล่าว เรามองว่าเฟดกำลังส่งสัญญาณรักษาระดับต้นทุนทางการเงิน เพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลไม่ให้เร่งตัวขึ้นเร็วเกินไป ซึ่งจะดีต่อการเคลื่อนไหวของราคาสินทรัพย์ในตลาดการเงินโดยรวม
ผลประชุม FOMC ไม่ตื่นเต้น แต่ไม่ถึงกับแย่
ผลประชุม FOMC เมื่อคืนไม่ได้เพิ่มวงเงินซื้อสินทรัพย์จากปัจจุบัน และไม่มีการกล่าวถึงการ ใช้เครื่องมือทางการเงินอื่น เช่น Yield Curve Control รวมถึงการปล่อยสินเชื่อโครงการถนน สายหลัก (Main Street) ที่ยังทำได้ล่าช้า ส่งผลให้ราคาสินทรัพย์เสี่ยงปรับตัวลงในลักษณะ Sell on fact ขณะที่การทรุดตัวของ Dollar Index และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ยิ่งเอื้อต่อการปรับขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งทองคำและน้ำมัน ส่วนผลกระทบต่อ SET INDEX เรามองเป็นกลางคาดแกว่งในกรอบ 1,390-1,450 จุด โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จาก Yield ต่ำมีโอกาสกลับมาได้รับความน่าสนใจในระยะสั้น เช่น โรงไฟฟ้ า (GPSC/ BGRIM/ SUPER), สื่อสาร (ADVANC/ INTUCH), ขนส่ง (BEM), ไฟแนนซ์ (MTC/ SAWAD/ KTC), รวมถึงกองทุนโครงสร้างฟื้นฐาน (DIF)
ขณะที่ ภาวะเงินบาทแข็งค่ามีโอกาสเกิดขึ้นต่อไป โดยระยะสั้น เงินบาท USD/THB ( คลิ้กดูกราฟอัตราแลกเปลี่ยน) อาจแข็งค่าได้ถึง 30-30.50 บาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ จาก Dollar Index ที่ปรับตัวลง และ Bond Yield ต่ำที่กระตุ้นให้เงินทุน ไหลเข้าผ่านธุรกรรม Carry Trade กลุ่มผู้นำเข้าจะได้ประโยชน์โดยตรง
ส่วนกลุ่มพลังงานจะ ได้ประโยชน์ทางอ้อมผ่าน FX Gain ตรงข้ามกับกลุ่มส่งออกที่จะได้รับผลลบ โดยเฉพาะ ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลประกอบการอ่อนไหวต่อเงินบาทค่อนข้างมาก เรายังแนะนำให้ หลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนี้ไปก่อน
บทวิเคราะห์นี้จัดทำขึ้นและเผยแพร่โดยทีมนักวิเคราะห์ของ Yuanta Securities