เพียงไม่นานเราก็เดินทางมาถึงครึ่งทางของปี 2020 แล้วซึ่งต้องยอมรับว่าเป็นปีที่ความผันผวนเข้ามากระทบต่อโลกและเศรษฐกิจเป็นอย่างมาก นอกจากสถานการณ์โควิด-19 และการประท้วงในสหรัฐฯ แล้ว การเมืองและความสัมหันธ์ระหว่างสหรัฐฯ- จีนกำลังกายเป็นปัจจัยหลักที่กระทบต่อตลาดลงทุนมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
ความกังวลของนักลงทุนถูกแสดงออกมาผ่านพฤติกรรมราคาในช่วงที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ประกาศว่าจะพิจารณาการให้สิทธิพิเศษแก่ฮ่องกงใหม่หากว่าฮ่องกงต้องเสียอำนาจการปกครองตนเองไปหจากกฎหมายควบคุมฮ่องกงฉบับใหม่ได้รับการอนุมัติจากสภาประชาชนจีน
เชื่อได้เลยว่าในสัปดาห์นี้ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ - จีนจะยิ่งเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกันกับการกลับมาเปิดเมืองของสหรัฐฯ ที่กำลังจะได้รับผลกระทบจากการประท้วงภายในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถึงกระนั้นยังมีการรายงานผลประกอบการของ 3 บริษัทที่น่าสนใจซึ่งเราได้นำข้อมูลมาให้ผู้อ่านได้พิจารณากัน
1. Zoom Video
นาทีนี้คงไม่มีใครไม่รู้จักบริษัทเจ้าของโปรแกรมประชุมทางไกลผ่านระบบคลาวด์ Zoom Video (NASDAQ:ZM) ซึ่งบริษัทจะรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกสำหรับปีงบประมาณของปี 2021 ในวันอังคารที่ 2 มิถุนายนหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Zoom จะมีตัวเลขผลกำไรรวมอยู่ที่ $276 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $0.13
Zoom ถือเป็นหนึ่งในบริษัทที่โดดเด่นที่สุดในช่วงวิกฤตโควิด-19 จนสามารถเรียกได้เลยว่า Zoom คือผู้ที่สามารถทำให้การรวมตัวกันของมนุษยชาติในอุตสาหกรรมต่างๆ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนสามารถเกิดขึ้นได้จริง
Zoom ได้มีการเปิดเผยตัวเลขผู้ใช้งานรายวันเมื่อเดือนมีนาคมซึ่งจากข้อมูลดังกล่าวพบว่าการใช้งานของผู้คนเพิ่มขึ้นจาก 10 ล้านคนเป็นมากกว่า 200 ล้านคนมาจนถึงปัจจุบัน เพียงแค่ตัวเลขผู้ใช้งานที่เติบโตแบบก้าวกระโดดนี้ก็เป็นเหตุผลเพียงพอแล้วว่าทำไมหุ้นของ Zoom จึงสามารถทำผลงานได้อย่างโดดเด่นท่ามกลางบริษัทกลุ่มเทคโนโลยีอื่นในช่วงที่เศรษฐกิจกำลังเข้าสู่สภาวะถดถอย
จากราคาหุ้นที่เคยมีอยู่เพียง $36 หลังจากที่บริษัทเปิดให้มีการทำ IPO ในปี 2020 หุ้นของ Zoom ทะยานขึ้นมา 164% และมีราคาเทรดปัจจุบันอยู่ที่ $179.48 อย่างไรก็ตาม Zoom ยังมีปัญหาที่ต้องแก้ไขอยู่หลังจากที่มีผู้ใช้งานตำหนิเกี่ยวกับความปลอดภัยในแง่ของการใช้งานบางส่วนของ Zoom ที่ยังหละหลวมและสามารถนำไปสู่การแฮคเข้ามาในระบบและสร้างความปั่นป่วนบนแพลตฟอร์มของ Zoom ได้
2. Slack
อีกหนึ่งแพลตฟอร์มสำหรับวงการทำงานออฟฟิศอย่าง Slack (NYSE:WORK) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสแรกสำหรับปีงบประมาณของปี 2021 ในวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายนหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Slack จะมีตัวเลขผลกำไรรวมอยู่ที่ $254 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ -$0.04
Slack ถือเป็นอีกแอปพลิเคชันหนึ่งที่สามารถตอบโจทย์การทำงาน การประสานงานและการสื่อสารต่างๆ ภายในบริษัทได้อย่างลงตัวและได้รับประโยชน์จากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 อย่างมีนัยสำคัญ
หลังจากปรับตัวลดลงในช่วงเดือนมีนาคมปัจจุบันหุ้นของ Slack ขึ้นมาจากจุดต่ำสุดนั้น 56% ตลอดทั้งปี 2020 มีราคาปิดล่าสุดอยู่ที่ $35.05 และเป็นหุ้นที่นักวิเคราะห์ไว้วางใจในระยะยาว แต่ถึงกระนั้นบริษัทก็ยังมีคู่แข่งคนสำคัญซึ่งถือเป็นบริษัทใหญ่อย่างไมโครซอฟท์ (NASDAQ:MSFT) ที่รอให้ Slack ขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งอยู่
แดเนียล ไอฟ์นักวิเคราะห์จาก Wedbush ให้ความเห็นเกี่ยวกับ Slack ในโน๊ตล่าสุดของเขาว่า “นักลงทุนน้อยคนนักที่จะตั้งข้อสงสัยว่า Slack จะเหมาะสมกับการลงทุนในระยะยาวหรือไม่เมื่อเห็นตัวเลขการเติบโตอันน่าประทับใจของบริษัท อย่างไรก็ตามด้วยการนำบริษัทไมโครซอฟท์ของนายสัตยา นาเดลลาที่ทำให้ไมโครซอฟท์มีผลิตภันณฑ์อย่าง Microsoft Team และการคืนชีพ Office 365 ขึ้นมาใหม่ทำให้ไมโครซอฟท์เป็นบริษัทที่มีความน่าสนใจไม่แพ้กัน”
3. Broadcom
บริษัทผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ยักษ์ใหญ่ Broadcom (NASDAQ:AVGO) จะรายงานผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปี 2020 ในวันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายนหลังจากที่ตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ปิด นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า Broadcom จะมีตัวเลขผลกำไรรวมอยู่ที่ $5,690 ล้านเหรียญสหรัฐและมีตัวเลขการปันผลกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ $5.14
หุ้นของ Broadcom สามารถกลับมาได้อย่างน่าประทับใจหลังจากที่เคยร่วงลงในเดือนมีนาคมด้วยความหวังที่ว่าความต้องการชิบคอมพิวเตอร์จะไม่ลดลงหลังจากที่เรื่องไวรัสโควิด-19 ค่อยๆ เบาบางลงไป ล่าสุดหุ้น Broadcom มีราคาปิดอยู่ที่ $291.27 ปรับตัวขึ้นมา 3% ในวันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม
สิ่งที่นักลงทุนจะให้ความสนใจจากรายงานผลประกอบการของ Broadcom รอบนี้คือการวางกลยุทธ์ซื้อบริษัทพัฒนาซอฟท์แวร์ของ CEO นาย Hock Tan จะมีประสิทธิภาพมากน้อยแค่ไหน ปีที่แล้ว Broadcom ได้ซื้อกิจการบริษัท Symantec's (NASDAQ:NLOK) มูลค่า $10,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการทำระบบป้องกันผู้บุกรุกระบบในโลกไซเบอร์และในปี 2018 Broadcom ก็ได้ลงทุนเงินจำนวน $19,000 ล้านเหรียญสหรัฐในการซื้อบริษัท CA Technologies
หลังจากที่ Broadcom ได้เข้ามาเป็นเจ้าของบริษัทซอฟท์แวร์เหล่านี้ก็ส่งผลให้ยอดขายบริษัท 80% มาจากซอฟท์แวร์ที่มีเบื้องหลังเป็นระบบปฏิบัติการคลาวด์ทั้งหมด
ดูหุ้นของอเมริก
https://th.investing.com/equities/americas