ใครที่เทรดค่าเงิน (forex) หรือ ลงทุนในต่างประเทศ คงไม่มีใครไม่รู้จักเงินดอลลาร์ เงินดอลลาร์เป็นสกุลเงินหลักของโลกในการแลกเปลี่ยนสกุลเงินอื่นๆด้วยกัน อีกทั้งยังเป็นทุนสำรองระหว่างประเทศ ทุนสำรองของหลายๆบริษัท หรือแม้กระทั่งนักลงทุนรายย่อยอย่างเราๆ ก็ล้วนเปิดพอร์ตลงทุนด้วยสกุลเงินนี้เป็นส่วนใหญ่ทั้งสิ้น
แล้วเราจะถูก “ปล้น” ได้อย่างไร เมื่อเงินก็ยังอยู่ในธนาคาร ในโบรกเกอร์
ด้วยความเสื่อมค่าของสกุลเงินนั่งเอง ทำไมนั่นหรือ
สกุลเงินจะมีค่าหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับสิ่งที่คนให้ค่ายังอยู่ และถูกรับรองโดยรัฐบาล หรือ องค์กรนั้นๆ ค้ำประกันอยู่ ยกตัวอย่าง เช่น เงินบาท ก็ถูกรับรองโดยรัฐบาลไทย ซึ่งรัฐบาลไทยก็มีหลักประกัน สิ่งที่มีค่า ที่เอาไว้ค้ำเงินบาท ก็คือ “ทองคำ” , พันธบัตร ของประเทศต่างๆ โดยเฉพาะของอเมริกา สินทรัพย์อื่นๆ ที่มีค่า รวมไปถึงศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศ
เงินดอลลาร์สหรัฐในสมัยก่อนก็เช่นกัน หลังสงครามโลกอเมริกาขึ้นเป็นประเทศมหาอำนาจ ได้ตั้งมาตรฐานใหม่ที่ประเทศต่างๆทั่วโลกต้องค้าขายด้วยเงินดอลลาร์สหรัฐ จึงได้กลายเป็นสกุลเงินสำคัญของโลก และเงินสกุลทั่วโลกจะผูกค่าเอาไว้นิ่งกับค่าดอลลาร์ ใครต้องการดอลลาร์ต้องเอาทองคำไปแลก ตามข้อตกลงเบรตัน วูดส์ ใน ค.ศ. 1935 ว่าทองคำ 1 ออนซ์มีมูลค่า 35 ดอลลาร์ จะพบว่าธนบัตรในสมัยนั้นจะมีคำว่า “IN GOLD COIN PAYABLE TO THE BEARER ON DEMAND” เท่ากับว่า ใครถือดอลลาร์ก็เหมือนถือ “ทองคำ” ดังนั้นแทบทุกประเทศทั่วโลกจึงสำรองเงินดอลลาร์
เมื่อเข้าสู่สงครามเวียดนามและสงครามเย็น สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้นเรื่อยๆ หลายๆประเทศเริ่มแคลงใจ สงสัยว่าสหรัฐพิมพ์แบงค์ออกมาใช้มากกว่าทองคำที่เป็นทุนสำรองอยู่ จึงนำดอลล่าร์ไปแลกทองคำกลับมาคืน และแน่นอน สหรัฐไม่มีปัญญาหาทองคำจำนวนมหาศาลมาให้ทุกประเทศแลกคืนได้พอ เพื่อปกป้องค่าดอลลาร์ไว้ ใน ค.ศ. 1971 ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีสหรัฐในสมัยนั้น ได้ชักดาบเอาเสียดื้อๆ ประกาศตัดความสัมพันธ์คงที่กับทองคำ
พูดง่ายๆคือ ต่อจากนี้ไปสหรัฐจะพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมาโดยไม่ต้องมีทองคำหนุนหลัง ในปีนั้นเองราคาทองคำได้พุ่งพรวดขึ้นไปเป็น 850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้เพราะมีการแอบพิมพ์ธนบัตรดอลลาร์ออกมามากเกินกว่าที่กำหนดไว้ในตอนแรกนั่นเอง แค่สร้าง “หนี้” ออกมาก็พิมพ์เงินได้ แล้วจ่ายดอกเบี้ย ในนามพันธบัตรรัฐบาล ซึ่งหลายๆคนมองว่าเป็นการลงทุนที่ปลอดภัยเพราะรัฐบาลเป็นเจ้าหนี้ โดยเฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกา
ดังนั้นหลายๆประเทศก็เปลี่ยนเงินดอลลาห์ส่วนนึงไปถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา เรียกว่า การลงทุน เพราะ ได้ดอกเบี้ย ซึ่งในความเป็นจริงก็คือเป็น “เจ้าหนี้” รัฐบาลสหรัฐอเมริกา
ถ้าเราเป็นเจ้าหนี้และเห็นลูกหนี้
- ไม่มีปัญญาจ่ายเงินคืนหรือแม้กระทั่งดอกเบี้ยได้
- ไปสร้างหนี้กับผู้อื่นแล้วเอาเงินมาหมุนใช้หนี้
- พิมพ์เงิน (จริงๆก็แค่กระดาษ) ออกมาใช้หนี้
- แถมกำหนดดอกเบี้ยให้เจ้าหนี้เอง
เราจะทำอย่างไร เราจะรู้สึกอย่างไร ???
ทำไมจะไม่มีปัญญาใช้หนี้คืน คิดง่ายๆครับ ตัวเลขหนี้ตอนนี้คือ 24ล้านล้านดอลลาห์ ดอกเบี้ย 2% (4.8แสนล้าน) GDP คือ 21ล้านล้าน ผมให้เฉลี่ย 10 ปี คือ 2% (แต่ปีนี้ติดลบแน่ๆ) 4.2แสนล้าน แค่นี้ก็ไม่มีปัญญาจ่ายแล้ว ยังไม่รวมว่า GDP เท่านี้เก็บภาษีได้เท่าไร เอามาบริหารประเทศ และสุดท้ายจะเหลือเอามาใช้หนี้เท่าไรกัน
เขาจึงกดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ ถ้าถึง 0% เมื่อไรนั่นหมายความว่า จะสามารถพิมพ์เงินได้ไม่จำกัด
มาถึงจุดนี้เงินดอลลาห์ต่างกับกระดาษตรงไหน???
เมื่อใดที่คนให้ค่ามันน้อยลงไป ไม่เชื่อใจลูกหนี้ประเทศนี้แล้ว ก็จะเกิดการ เทขายเงิน ไม่ต่อสัญญาพันธบัตร ปริมาณเงินมหาศาลจะไหลกลับไปที่สหรัฐจนเกิด Hyperinflation กับค่าเงินทั่วโลก โดยเฉพาะประเทศที่สำรองดอลลาห์เป็นทุนสำรองหลัก (น่าจะแทบทุกประเทศทั่วโลก)
กลับไปสู่จุดเดิม คนก็ยังให้ค่า “ทองคำ” ดังนั้นจึงไม่แปลกใจเลยที่มูลค่าถึงสูงขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา และก็ยังเป็น Asset backed security ที่ดีในช่วงที่ดอลลาห์กำลังจะเสื่อมค่า
บทความนี้จัดทำเลยเผยแพร่ครั้งแรกทางเพจ About Traders