นักลงทุนในตลาดฟอเร็กซ์ต่างพากันเทขายสกุลเงินดอลลาร์เพื่อตั้งหลักรอดูข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่จะรายงานในวันนี้นั่นคือ " และ" จากการคาดการณ์คร่าวๆ ของนักลงทุนหรือคนทั่วไปก็คงคิดเอาไว้อยู่แล้วว่าไม่มีทางที่ข้อมูลทั้งสองจะออกมาดีได้ท่ามกลางภาพที่มองหันไปทางไหนก็มีแต่ธุรกิจ ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า ปิดทำการ สร้างความกังวลให้กับธนาคารกลางสหรัฐฯ และเราคาดว่าทุกธนาคารกลางของทุกรัฐจะต้องมีรายงานตัวเลขที่แสดงให้เห็นว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจตอนนี้อ่อนแอขนาดไหน IMF ก็ได้ออกมาเตือนแล้วว่าเรากำลังมุ่งหน้าเข้าสู่การถดถอยครั้งใหญ่นับตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008 ซึ่งข่าวเหล่านี้ไม่ใช่ข่าวดีเลย
นอกจากข้อมูลทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่หลายๆ ฝ่ายคาดว่าจะออกมาไม่ดีแล้ว รายงานผลประกอบการจากบริษัทดังๆ ก็ออกมาแย่ด้วยเช่นกันและนี่คือสาเหตุว่าทำไมราคาในตลาดหุ้นเมื่อคืนถึงได้ปรับตัวสูงขึ้นไม่ใช่เพราะมีข่าวดีอะไรแต่เพราะคนเข้าไปช้อนซื้อหุ้นที่ร่วงลงต่างหาก รายงานผลประกอบการของเจพีมอร์แกน (NYSE:) เวลล์ ฟาร์โก (NYSE:) ไม่สามารถเอาชนะตัวเลขคาดการณ์ได้ในขณะที่ยอดขายของบริษัทจอห์นสัน & จอห์นสัน (NYSE:) ลดลงส่งผลกระทบต่อภาพรวมของบริษัทในปี 2020 แม้จะมียอดขายลดลงแต่เจแอนด์เจยังสามารถเพิ่มอัตราเงินปันผลของบริษัทตนเองได้
หลังจากที่ตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในสหรัฐฯ กำลังเริ่มที่จะคงที่แล้ว ไม่ใช่แค่เฉพาะในสหรัฐฯ แต่ยังรวมถึงหลายๆ พื้นที่ทั่วโลก คนเริ่มมองผ่านไตรมาสที่ 1 ไปและกำลังพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะฟื้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจให้กลับมา หลายๆ สำนักเริ่มเขียนบทความบทวิเคราะห์คาดการณ์ผลกระทบและสิ่งที่อาจจะเป็นไปได้ในช่วงสิ้นไตรมาสที่ 2 นักลงทุนจึงเริ่มหวังว่าทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่เข้าทางภายในเดือนพฤษภาคมหรืออย่างช้าสุดคือสิ้นเดือนมิถุนายน แต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด ถ้าต้องกลับมาเปิดประเทศเร็วเกินไปก็มีความเป็นไปได้ที่อาจจะได้เห็นการแพร่ระบาดกลับมาอีกครึ่งหนึ่งซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นแล้วอย่างประเทศจีนที่พึ่งมีรายงานพบผู้ติดเชื้อใหม่ในรอบ 6 สัปดาห์ ประเทศเกาหลีใต้สั่งให้มีการจับตาดูผู้ติดเชื้อที่เคยติดและได้รับการรักษาจนหายแล้ว สิงคโปร์มีรายงานผู้ติดเชื้อใหม่เพิ่มขึ้นเช่นเดียวกันกับในญี่ปุ่น รัสเซียออกมาเตือนว่าเตียงผู้ป่วยทั่วประเทศในตอนนี้ใกล้ที่จะเต็มหมดแล้ว ดังนั้นนักลงทุนจึงไม่ควรดีใจกับสถานการณ์ในตอนนี้มากจนเกินไปนัก
อีกหนึ่งข่าวสำคัญที่จะออกมาในก่อนรายงานสรุปสภาวะทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และถือเป็นข่าวที่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือการประชุมเพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดา (BoC) เดือนมีนาคมที่ผ่านมาถือเป็นเดือนที่ยุ่งเหยิงมากสำหรับธนาคารกลางทั่วโลกที่ต้องคอยออกแต่มาตรการฉุกเฉินซึ่งทาง BoC เองก็ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยลดลงมาจาก 1.75% เหลือ 0.25% ต่ำที่สุดเป็นประวัติกาล นอกจากนี้ทางธนาคารกลางฯ ยังมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการซื้อสินทรัพย์มูลค่า $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แม้ว่าวันนี้ทาง BoC จะตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยลงมาอีกจนเหลือ 0 หรือติดลบแต่นโยบายในการผ่อนคลายทางการเงินอีกคงทำได้ยากเพราะก่อนหน้านี้ก็ประกาศผ่อนคลายทางการเงินไปแล้ว
แต่เพราะอย่างนั้นจึงทำให้ BoC มีความยืดหยุ่นเป็นอย่างมากในการตัดสินใจเข้าไปซื้อหรืออุ้มสินทรัพย์เอาไว้ จากรายงานดัชนี PMI ของ IVEY เมื่อเดือนที่แล้วพบว่ามีคนมากกว่า 1 ล้านคนที่ต้องตกงาน ถึงจะยากลำบากแต่ BoC จำเป็นที่จะต้องคงมาตรการหรือนโยบายทางการเงินนี้เอาไว้เพื่อเรียกว่าเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าสิ่งที่ BoC ตัดสินใจลงไปนั้นถูกต้อง สกุลเงินแคนาดาดอลลาร์ในคืนนี้จะรอดหรือไม่รอดขึ้นอยู่กับว่าอัตราดอกเบี้ยถูกลดลงมาเป็น 0 หรือติดลบหรือไม่ ดังนั้นทิศทางการวิ่งของกราฟ ในคืนนี้จึงมีโอกาสที่กราฟจะกลับขึ้นไปยัง 1.40 ได้ถ้าแคนาดาดอลลาร์อ่อนมูลค่าลงแต่ถ้าผลที่ออกมาเป็นข่าวดีกราฟมีโอกาสลงไปยัง 1.3725 ซึ่งอยู่ใกล้กับเส้นค่าเฉลี่ย 50 SMA
สกุลเงินยูโรและปอนด์ปรับตัวสูงขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ แม้ไม่มีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญออกมาแต่ข่าวดีก็คือตัวเลขยอดจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในยุโรปเริ่มลดลงแล้ว หลายๆ ประเทศในยุโรปเริ่มลดมาตรการคุมเข้มลงอย่างเช่นในนอร์เวย์ เดนมาร์ก สาธารณรัฐเช็คและออสเตรียที่มีแผนจะลดมาตรการควบคุมที่เข้มข้นลงในสัปดาห์หน้า โรงงานอุตสาหกรรมในเยอรมันบางแห่งอาจจะสามารถกลับมาทำงานได้ในวันที่ 20 เมษายนนี้แต่การคุมเข้าที่บริเวณชายแดนจะยังคงอยู่