สำหรับตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ เมื่อวานนี้เปิดสัปดาห์ด้วยการปรับตัวลดต่ำลงของดัชนีหลักๆ ในขณะที่ตลาดสกุลเงินกลับเปิดตลาดอย่างเงียบเหงาเพราะตลาดหลักทรัพย์หลายๆ แห่งในฝั่งยุโรปและเอเชียปิดเนื่องจากเป็นวันอีสเตอร์ มีเพียงแต่สกุลเงินที่ยังวิ่งอยู่แต่เมื่อเทียบกับสกุลเงินแล้วถือว่าอ่อนมูลค่ากว่า แต่ถ้าเทียบกับถือว่าแข็งค่ากว่า
แม้แต่สกุลเงินเองที่ควรจะได้รับประโยชน์จากข่าวการจับมือกันลดกำลังการผลิตของกลุ่มโอเปกแต่กลายเป็นว่าราคากลับไม่มีแรงขึ้นตามข่าวเสียอย่างนั้น สงครามราคาน้ำมันดิบจบลงที่ซาอุดิอาระเบียและรัสเซียต่างยอมลดกำลังการผลิตลงประเทศละ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน อย่างไรก็ตามเม็กซิโกกลับสร้างปัญหาให้กลับกลุ่มโอเปกด้วยการไม่ยอมลดกำลังการผลิตลง 400,000 บาร์เรลต่อวันตามที่โอเปกขอแต่ถือว่ายังดีที่ได้สหรัฐฯ มาช่วยอุ้มในส่วนที่เม็กซิโกรับไม่ไหวจนท้ายที่สุดแล้วตกลงว่าเม็กซิโกจะยอมลดกำลังการผลิตลง 100,000 บาร์เรลต่อวันเท่านั้น โดยรวมแล้วการตกลงครั้งนี้มีโอกาสที่จะแตกหักกันได้อีกในอนาคต นักลงทุนจึงไม่มีความเชื่อมั่นและส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบไม่ยอมปรับตัวขึ้น
นอกจากปัญหาเรื่องสงครามราคาน้ำมันที่กระทบต่อแคนาดาดอลลาร์ เราพบว่าแคนาดามีปัญหามากกว่านั้นเพราะเมื่อสัปดาห์ที่แล้วรายงานการจ้างงานของแคนาดารายงานว่ามีคนตกงานมากกว่า 1 ล้านคน ตัวเลขกิจกรรมภาคการผลิตหดตัวลงอย่างน่าใจหาย แม้การประชุมเพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดา (BoC) จะมีขึ้นในสัปดาห์นี้แต่ทางเลือกของ BoC นั้นเหลือไม่มากแล้ว เชื่อว่า BoC จะเลือกคงนโยบายทางการเงินไว้ดังเดิม อาจจะดำเนินการบางอย่างกับอัตราดอกเบี้ยและจะมีการทำ QE ขนาดใหญ่ หากยังจำกันได้ในการประชุมด่วนเมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว BoC ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือ 0.25% และประกาศจะซื้อตราสารหนี้ของรัฐบาลด้วยเงินจำนวน $5,000 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงระบบการเงินและเศรษฐกิจเอาไว้
การประชุมของธนาคารกลางแคนาดาถือเป็น 1 ใน 5 เหตุการณ์ไฮไลท์สำคัญของสัปดาห์นี้ซึ่ง 5 เหตุการณ์ที่กล่าวถึงประกอบไปด้วย
1. รายงานดุลการค้าของประเทศจีน
2. รายงานตัวเลขยอดขายปลีกของสหรัฐฯ
3. การประชุมเพื่อปรับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางแคนาดา
4. รายงานตัวเลขในตลาดแรงงานของออสเตรเลีย
5. รายงานตัวเลข GDP ของประเทศจีน
ข้อมูลตัวเลขทางเศรษฐกิจของจีนอาจดีขึ้นหลังจากที่เหตุการณ์โควิด-19 ในจีนดูเหมือนจะเริ่มอยู่ตัวมาสักระยะหนึ่งแล้ว ในขณะที่เศรษฐกิจจีนกำลังฟื้นกลับมากลับกลายเป็นว่าตอนนี้เศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังบอบช้ำจากพิษโควิด-19 อยู่ ดังนั้นรายงานตัวเลขยอดขายปลีกของสหรัฐฯ น่าจะออกมาลดลงเพราะการสั่งปิดเมือง การสั่งธุรกิจให้หยุดดำเนินกิจการและราคาที่ยังคงอยู่ก้นเหว รายงานตัวเลขการจ้างงานในออสเตรเลียเชื่อว่าจะลดลงและตัวเลขนี้อาจจะส่งผลให้ตัวเลข PMI ของตลาดแรงงานลดลงด้วยเช่นกัน
อีกเหตุการณ์สำคัญหนึ่งของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้คือฤดูการรายงานผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในไตรมาสที่ 1 ได้มาถึงแล้วซึ่งเราจะได้เห็นการทยอยรายงานผลประกอบการไปเรื่อยๆ อีก 3 สัปดาห์ข้างหน้า ประเดิมสัปดาห์นี้ก่อนเลยด้วยการรายงานผลประกอบการของสถาบันการเงินใหญ่ๆ บริษัทผู้ผลิตน้ำมันต่างๆ บริษัทชื่อดังอย่างเช่น (NYSE:) และ (NASDAQ:) นอกจากต้องจับตาดูรายงานผลประกอบการแล้วนักลงทุนยังต้องจับตาดูรายงานสรุปสภาวะทางเศรษฐกิจและคำแถลงการณ์ของธนาคารกลางสหรัฐฯ ที่มีต่อรายงานฉบับนี้อีกด้วย
ส่วนตัวแล้วเราคิดว่าตัวเลขผลประกอบการของบริษัทใหญ่ๆ ในไตรมาสที่ 1 จะต้องออกมาไม่สวยเพราะไม่ได้รับกระทบจากโควิด-19 และประธานเฟดจะต้องแสดงความเป็นกังวลต่อเศรษฐกิจโดยรวมซึ่งจะยิ่งทำให้ดอลลาร์อ่อนมูลค่าลง ยิ่งไปกว่านั้นนักลงทุนจะยิ่งเสียความเชื่อมั่นจากข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์รีทวีตเพื่อขอให้มีการไล่ด็อกเตอร์แอนโทนี่ เฟาซี่ออกเพราะนี่เปรียบเสมือนการไล่ยอดขุนพลออกทั้งๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างสงครามและแสดงให้เห็นถึงความไม่เป็นมืออาชีพของทรัมป์ โดยรวมแล้วสัปดาห์นี้สกุลเงินดอลลาร์และเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงต้องผ่านมรสุมข่าวร้ายไปอีกหนึ่งสัปดาห์โดยที่ไม่มีแสงสว่างปลายอุโมงค์