จากข้อมูลล่าสุดเราได้ทราบกันไปแล้วว่ามีผู้ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานจากรัฐอีก 6.6 ล้านคนซึ่งมีตัวเลขเกินมาจากที่คาดการณ์เอาไว้ 1.1 ล้านคนเท่ากับว่าตอนนี้สหรัฐฯ มีผู้ที่ตกงานและขอรับสวัสดิการฯ รวมแล้วทั้งสิ้น 16.7 ล้านคนภายในระยะเวลา 3 สัปดาห์ นี่คือตัวเลขที่ได้มาเฉพาะคนที่ยังสามารถยื่นขอรับสวัสดิการได้หรือคนที่โทรไปหาภาครัฐเพื่อยืนยันสถานะการว่างงานเท่านั้น แม้ตัวเลขนี้จะยังขึ้นไปไม่ถึงตัวเลขคาดการณ์ที่ 7.5 ล้านคนแต่ใน 3 สัปดาห์ล่าสุดตัวเลขเหล่านี้ก็ถือว่าน่าตกใจมากพออยู่แล้ว
อย่างที่บอกไปว่าตอนนี้ตลาดกำลังให้ความสำคัญกับตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานที่มีความสำคัญไม่แพ้ตัวเลขนอนฟาร์มและหนึ่งในผู้สังเกตการณ์นั้นก็คือธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ที่ไม่นิ่งดูดายต่อตัวเลขที่คนตกงานเหล่านี้ที่สูงทำสถิติ 3 สัปดาห์ติด เมื่อคืนนี้เฟดจึงได้ตัดสินใจประกาศอัดฉีดเงินเพิ่มอีก 2.3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐโดยเป้าหมายของการอัดฉีดเงินรอบนี้คือต้องการให้เงินสามารถเข้าถึงธุรกิจ SME ที่มีพนักงานไม่เกิน 10,000 คนได้โดยตรงและมีกำไรไม่เกิน $2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้เฟดยังจะปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำมากให้กับธุรกิจขนาดกลางและเล็กด้วยวงเงินไม่เกิน $1-25 ล้านเหรียญสหรัฐ
นายเจอโรม พาวเวลล์ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ คนปัจจุบันได้ให้ความเห็นหลังจากประกาศมาตรการเยียวยาระลอกที่สองไปแล้วว่า “ในช่วงไตรมาสที่ 2 จะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจได้รับผลกระทบมากที่สุดและมีความเสี่ยงที่จะได้เห็นตัวเลขคนว่างงานที่เพิ่มสูงขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ ยิ่งไปกว่านั้นในช่วงไตรมาสที่ 2 นี่เองที่เราจะได้เห็นตัวเลขยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดก่อนที่ตลาดจะเริ่มค่อยๆ ฟื้นตัวได้จากการควบคุมโรคที่เริ่มเห็นผล”
แถลงการณ์นี้ถือเป็นครั้งแรกที่ประธานเฟดออกมายอมรับว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจจะเป็นเช่นไรขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของการแพร่ระบาดโควิด-19 ซึ่งสามารถตีความได้ว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ว่าสหรัฐฯ หรือเศรษฐกิจโลกจะฟื้นตัวเมื่อไหร่ ตอนนี้เฟดมีกำลังเพียงแค่ให้ยืมแต่ไม่สามารถนำเงินไปใช้จ่ายอย่างอื่นได้ สิ่งที่สะท้อนความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในตอนนี้ได้เป็นอย่างดีเลยคือดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยมหาลัยมิชิแกนที่ร่วงลงต่ำที่สุดในรอบ 8 ปีซึ่งถือเป็นการร่วงลงครั้งประวัติศาสตร์ครั้งหนึ่งแน่นอนแล้ว นอกจากนี้ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ก็ปรับตัวลดลงแต่น้อยกว่าที่คาดการณ์
หมายเหตุ: ถึงแม้วันนี้ตลาดหลักทรัพย์ทั้งในยุโรปและสหรัฐฯ จะหยุดทำการแต่ข่าวการประชุม G20 และดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ยังถือว่าสำคัญและนักลงทุนควรให้ความสนใจ