รัฐบาลทั่วโลกยังคนเดินหน้าสร้างเกราะป้องกันโรคและเศรษฐกิจในประเทศตัวเองจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 แต่ภาพการเทขายและราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นได้น้อยแต่ลงเยอะแสดงให้เห็นเลยว่านักลงทุนไม่เชื่อมั่นว่าวิธีการเหล่านี้จะหยุดยั้งการถดถอยทางเศรษฐกิจได้จริง ในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นในวงการเศรษฐกิจบ้าง:
- ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัญฯ ได้เซ็นสัญญาลงนามในชุดแผนเยียวยาเศรษฐกิจที่จะช่วยยืดระยะเวลาการจ่ายค่าจ้างโดยไม่ต้องมาทำงานให้กับคนงาน
- ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ยอมลดอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางจะคิดกรณีธนาคารพาณิชย์มาขอกู้กรณีขาดสภาพคล่อง
- เพื่อพยุงเศรษฐกิจธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) ประกาศโครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับโรคระบาด (Pandemic Emergency Purchase Program)
- ธนาคารกลางแห่งอังกฤษ (BoE) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเหลือ 0.1% (ระดับต่ำสุดตั้งแต่ BoEเคยลดดอกเบี้ย)
- ธนาคารกลางแห่งออสเตรเลีย (RBA) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 จุดเบสิสเหลือ 0.25%
- ธนาคารกลางแห่งญี่ปุ่น (BoJ) วางเงินให้กู้ยืม 2 แสนล้านเยนผ่านการประมูล
ท่ามกลางยอดตัวเลขผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนาที่เพิ่มสูงขึ้น ดัชนีภาคการผลิตจากธนาคารกลางฟิลาเดเฟียและจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานก็เพิ่มสูงขึ้นตาม สกุลเงินดอลลาร์ทะยานขึ้นเพราะได้รับประโยชน์ในฐานะสกุลเงินที่ทำหน้าที่เหมือนเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย กราฟ USD/JPY ทะยานขึ้นสู่ 110 เช่นเดียวกันกับ USD/CHF ที่ขึ้นยืนเหนือ 98 ได้สำเร็จ กราฟ EUR/USD ร่วงลงมาอยู่ต่ำกว่า 1.07 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของเมษายนปี 2017 ในขณะที่ AUD/USD ลงมาทดสอบแนวรับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมกราคมปี 2003 เช่นเดียวกับ NZD/USD ที่ร่วงลงสู่จุดต่ำสุดของปี 2009 กราฟ USD/CADสามารถทะลุแนวต้าน 1.46 ขึ้นไปได้
แม้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะได้ทำหน้าที่ของตัวเองไปแล้วด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงมาเหลือ 0-0.25% และยอมลดอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารกลางจะคิดกรณีธนาคารพาณิชย์มาขอกู้กรณีขาดสภาพคล่องแต่ความสามารถของธนาคารกลางฯ ก็มีจำกัด สิ่งที่เลวร้ายกว่านั้นคือเมื่อพันธบัตรรัฐบาลยังคงอยู่ในระดับต่ำจะทำให้อัตราการชำระเงินที่กู้จำนอง การกู้ยืนทุนเพื่อการศึกษาและหนี้บัตรเครดิตลดลงด้วย จริงอยู่ที่นโยบายเยียวยาเหล่านี้มากพอที่จะฟื้นผลตอบแทนจากพันธบัตรรัฐบาลหรือความต้องการสกุลเงินดอลลาร์ขึ้นมาได้ (ประกอบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ กำลังร่วงอยู่) แต่โดยภาพรวมแล้วเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงน่าเป็นกังวลเพราะสหรัฐฯ อาจจะต้องเผชิญการหัดตัวทางเศรษฐกิจทั้งในประเทศตัวเองและในประเทศจีน
โครงการซื้อสินทรัพย์ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับโรคระบาด (Pandemic Emergency Purchase Program) เพื่อพยุงเศรษฐกิจจำนวน 75,000 ล้านยูโรของธนาคารกลางแห่งสหภาพยุโรป (ECB) ทำให้มูลค่าของสกุลเงินยูโรลดลง กราฟ EU ร่วงลงมากกว่า 1.5% และเป็นคู่สกุลเงินเดียวที่ทำผลงานได้แย่ที่สุดในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ถึงกระนั้นเราเข้าใจดีว่า ECB จำเป็นต้องทำเพราะดัชนีจาก IFO ของเยอรมันร่วงลงไปต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2009 และจำนวนก็เลขที่ติดลบก็มากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1991 ภาคธุรกิจกำลังเป็นกังวลเช่นเดียวกันกับนักลงทุนเพราะผู้บริโภคทั่วโลกต่างก็กำลังเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านของตนและไม่ยอมออกมาใช้เงิน ตอนนี้ ECB ได้ทำหน้าที่ของพวกเขาแล้วที่เหลือก็เป็นหน้าที่ของรัฐบาลในแต่ละประเทศแล้วว่าจะดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างไร
ในที่สุดธนาคารกลางของอังกฤษ (BoE) ตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินเช่นเดียวกับเฟดซึ่งพวกเขาตัดสินใจลดลงมา 15 จุดเบสิสจนตอนนี้อัตราดอกเบี้ยของ BoE ล่าสุดได้ทำสถิติใหม่ต่ำที่สุดเป็นประวัติกาลนับตั้งแต่ที่ BoE เคยทำมา นอกจากนี้พวกเขายังเตรียมงบไว้อีก 20,000 ล้านปอนด์เพื่อเพิ่มวงเงินการซื้อสินทรัพย์ในตลาด BoE กล่าวว่า...
“ในช่วงหลายวันที่ผ่านมาตลาดลงทุนของสหราชอาณาจักรได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากเช่นเดียวกันกับตลาดพันธบัตรรัฐบาลในหลายๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว นักลงทุนกำลังหันไปลดลงทุนในสินทรัพย์ที่ได้ผลตอบแทนระยะสั้นและมีสภาพคล่องที่สูงกว่าซึ่งผลที่ตามมาก็คือเศรษฐกิจของสหราชอาณาจักรและหลายๆ ประเทศทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจหดตัว”
BoE จะมีการประชุมร่วมกันในสัปดาห์หน้าอีกครั้งและจะแจ้งรายงานการประชุมให้ทราบหลังจากนั้น
ธนาคารกลางแห่งสวิสเซอร์แลนด์ไม่ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยแต่จะใช้วิธีเข้ามาแทรกแซงทางการเงินแทน ด้วยตัวเลือกในยามวิกฤตที่มีจำกัดหากไม่เลือกลดอัตราดอกเบี้ย ธนาคารกลางก็ไม่มีตัวเลือกเหลืออยู่มากนัก จึงไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้ในการประชุม G7 การแทรกแซงทางการเงินจึงเป็นหนึ่งในเรื่องที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดด้วย
ธนาคารกลางแห่งออสเตรเลียตัดสินใจปรับลดอัตราดอกเบี้ยฉุกเฉินอีกเช่นกัน 25 จุดเบสิสจนตอนนี้อัตราดอกเบี้ยของ RBA เหลืออยู่เพียง 0.25% และยังประกาศทำ QE เป็นครั้งแรกโดยจะให้ธนาคารพาณิชย์สามารถกู้จากธนาคารกลางได้ 3 ปี นอกจากนี้พวกเขากำลังพูดถึงความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปแทรกแซงทางการเงิน ข่าวนี้ถือว่าเป็นข่าวดีกว่าที่คาดไว้สำหรับภาคแรงงานเพราะนักลงทุนทราบดีว่าตัวเลขการว่างงานกำลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
สกุลเงินแคนาดาดอลลาร์ยังคงปรับตัวลดลงแม้ว่าราคาน้ำมันดิบจะปรับตัวขึ้นมาได้เล็กน้อย นักลงทุนต้องรอดูรายงานตัวเลขยอดขายปลีกในวันนี้และความเสี่ยงที่ตัวเลขการตกงงานของภาคแรงงานจะเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นตัวเลขที่ดีจากฝั่งแคนาดาในวันนี้