เมื่อสัปดาห์ที่แล้วกราฟดัชนีดอลล่าร์สหรัฐฯสามารถวิ่งขึ้นไปถึงแนวต้านสำคัญได้แต่ตอนนี้กราฟกลับวิ่งลงมาทดสอบแนวรับที่จุดต่ำสุดของเดือนธันวาคม ความสำคัญของดัชนีตัวนี้เป็นที่ทราบกันดีว่าดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ถูกนำมาใช้เทียบมูลค่ากับสกุลเงินหลักหลายๆ ตัวในฐานะสกุลเงินหลักของโลก ความซับซ้อนทางการเมือง การทหารและเศรษฐกิจทั้งหลายในโลกสามารถบ่งชี้ได้จากดัชนีตัวนี้
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ นายโดนัลด์ ทรัมป์ทราบถึงข้อได้เปรียบในส่วนนี้ดี ไม่เพียงเขาใช้มันต่อรองในตลาดการค้าภายในประเทศเท่านั้นเขายังนำข้อได้เปรียบนี้ไปใช้กับสงครามการค้าที่ลุกลามไปทั่วโลกทั้งกับประเทศจีน รัสเซียและสหภาพยุโรปจนประเทศเหล่านั้นต้องหาวิธีที่จะต่อกรกับความแข็งแกร่งของสกุลเงินดอลลาร์ด้วยความพยายามลดมูลค่าของสกุลเงินดอลลาร์ลงจึงเป็นที่มาสาเหตุหนึ่งว่าทำไมยุโรปถึงต้องจับมือกันเป็นสหภาพยุโรปและสร้างสกุลเงินยูโรขึ้นมา
ประเทศจีนเองก็มีความพยายามให้เห็นอยู่เช่นกันด้วยการใช้สกุลเงินหยวนเข้าไปซื้อน้ำมันในตลาดซื้อขายน้ำมันล่วงหน้าเพื่อคานอำนาจการซื้อขายน้ำมันดิบด้วยสกุลเงินดอลลาร์ลง
ตอนนี้สกุลเงินดอลลาร์กำลังถูกโจมตีในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ได้กล่าวไปก่อนหน้าและการขายพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ของนักลงทุนต่างชาติ นอกจากนี้ยังมีความเป็นไปได้ที่เฟดอาจจะประกาศนโยบายผ่อนปรนทางการเงินเพิ่มขึ้นอีก แล้วอนาคตข้างหน้าของสกุลเงินดอลลาร์จะเป็นอย่างไร? ดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังคงปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องอยู่หรือไม่?
อาจจะฟังดูเป็นข่าวร้ายแต่ความจริงคำตอบก็คือ...ใช่ เรามาดูรูปประกอบด้านล่างของดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ รายวันกัน
จากรูปจะเห็นได้ว่ากราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ สามารถขึ้นไปสร้างรูปแบบ double-top (แม้จะไม่สมบูรณ์แต่อย่างน้อยก็เหมือนในทฤษฎี) ได้ที่ระดับราคา 96.36 ซึ่งเราวัดความสมบูรณ์ของการเกิดรูปแบบนี้จากการที่จุดต่ำสุดของราคาที่เป็นฐานของรูปแบบ double-top เกิดขึ้นสำเร็จแล้ว จากนั้นเมื่อราคาดีดกลับขึ้นมาเราจึงสามารถมองเห็นว่ากราฟเป็นรูปแบบหัวไหล่ (Head & Shoulder) ได้อย่างชัดเจน
ยิ่งความซับซ้อนของรูปแบบที่เกิดขึ้นมีมากเท่าไหร่ความเป็นไปได้ที่นักลงทุนหรือเทรดเดอร์จะตระหนักได้ว่าเกิดอะไรขึ้นในตลาดก็มีน้อยลงเท่านั้นซึ่งส่งผลให้แรงซื้อขายในตลาดที่เกิดขึ้นมีน้อยลงไปด้วย
อย่างไรก็ตามแนวโน้มขาลงได้ประกาศตัวอย่างชัดเจนต่อนักลงทุนเมื่อกราฟสามารถทะลุเส้นเทรนไลน์ขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่วันที่ 24 กันยายนตอนที่กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ วิ่งขึ้นมาจากจุดต่ำสุดของราคาที่ 88 จนสามารถขึ้นมาถึงเลข 100 ได้ในเดือนตุลาคมปี 2019 ลงมาได้สำเร็จ
ยิ่งถ้านำไปพิจารณาร่วมกันเส้นค่าเฉลี่ย DMA ด้วยแล้วจะพบว่าเส้นค่าเฉลี่ย 50 DMA ตอนนี้เข้าใกล้กับเส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA แล้วทำให้เทรดเดอร์เริ่มชั่งใจแล้วว่าเส้น 50 DMA จะสามารถเจาะเส้นค่าเฉลี่ย 200 DMA ได้จริงๆ หรือกราฟจะดีดตัวกลับขึ้นไปก่อนแล้วกลับกลายเป็นแนวโน้มขาขึ้นยังสามารถรักษาเทรนของราคาเอาไว้ได้อยู่
หรือถ้าคิดแบบเข้าข้างแนวโน้มขาลงก็สามารถพิจารณาได้ว่าตอนนี้กราฟดัชนีดอลลาร์สหรัฐฯ ก็ปรับตัวลงมาเป็นวันที่ 4 ติดต่อกันแล้ว ถ้าตลาดขาลงยังคงคุมเกมได้อยู่แบบนี้และสามารถสร้างจุดปิดที่ต่ำกว่าจุดต่ำสุดของเดือนมิถุนายน ก็เพียงพอแล้วกับการยืนยันว่าเป็นสัญญาณแนวโน้มขาลงในตลาดแน่นอนและจะยิ่งเป็นการยืนยันความสำเร็จการการตัดกันของเส้นค่าเฉลี่ย 50 และ 200 DMA และยืนยันรูปแบบหัวไหล่โดยมีเป้าหมายของราคาอยู่ที่ระดับราคาซึ่งเป็นตัวเลขจิตวิทยาที่ 95
กลยุทธ์ในการเทรด
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง จะรอให้ราคาสามารถปิดแท่งเทียนได้ต่ำกว่าระดับราคา 95.84 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของราคาเมื่อวันที่ 29 มิถุนายนให้ได้ก่อน จากนั้นจะรอให้กราฟพักตัวเป็นรูปแบบของขาขึ้นและต้องมีหลักฐานแสดงให้เห็นถึงการเจาะแนวต้านสำเร็จจึงค่อยวางคำสั่งซื้อ
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง จะรอให้กราฟพักตัวก่อนและหลังจากที่กราฟปิดแท่งได้ต่ำกว่าระดับราคา 96.59 ซึ่งเป็นจุดต่ำสุดของราคาในวันที่ 12 ธันวาคมพวกเขาจะไม่รอสัญญาณยืนยันจากการเจาะแนวต้านแต่จะเข้าซื้อเลย
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง วางคำสั่งซื้อเลยโดยวัดใจกับการดีดกลับของราคาหลังจากที่กราฟลงไปทดสอบจุดต่ำสุดเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมอีกครั้ง พวกเขาเข้าใจถึงรูปแบบและอัตราการรับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นนักลงทุนเหล่านี้อาจจะมีการเปิดคำสั่งขายตามนักลงทุนฝั่นขาลงปานกลางในกรณีที่กราฟไม่ดีดกลับขึ้นมาจริงๆ
ตัวอย่างการเทรด
จุดเข้า: 96.50
Stop-Loss: 96.40
ความเสี่ยง: 10 pips
เป้าหมายในการทำกำไร: 97.00
ผลตอบแทนที่จะได้รับ: 50 pips
อัตราความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่จะัได้: 1:5