📈 คุณจะเริ่มลงทุนอย่างจริงจังในปี 2025 ไหม? เริ่มต้นก้าวแรกพร้อมรับส่วนลด 50% สำหรับสมาชิก InvestingProรับส่วนลด

1 ทศวรรษตลาดสินค้าโภคภัณฑ์: น้ำมันดิบจะไปได้ถึง $100 หรือไม่

เผยแพร่ 25/12/2562 17:11
LCO
-
CL
-
2222
-

เป็นอีกทศวรรษหนึ่งที่กำลังจะผ่านไปแล้วและก็ยังไม่มีใครสามารถให้คำตอบกับวงการสินค้าโภคภัณฑ์ได้ว่าปริมาณความต้องการน้ำมันดิบในโลกใกล้ที่จะแตะจุดสูงสุดของราคาที่ $100 ต่อบาร์เรลได้อีกครั้งหรือยัง

เป็นเวลามากกว่า 60 ปีแล้วที่ซาอุดิอาระเบียปล่อยให้องค์กรกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (OPEC) เข้ามามีบทบาทและสามารถกำหนดทิศทางของราคาน้ำมันในโลกได้ แต่นักลงทุนในตลาดน้ำมันก็ไม่รู้เลยว่าองค์กรนี้จะอยู่ไปได้อีกนานแค่ไหน ทุกวันนี้ก็ถือว่าประหลาดใจมากแล้วที่องค์กรนี้ยังสามารถมีบทบาทและมีผลกับราคาน้ำมันดิบในตลาดได้อยู่

นายจอห์น คลิดัฟ ผู้ร่วมก่อตั้งของกองทุนด้านพลังงานแห่งเมืองนิวยอร์คกล่าวกับเรื่องนี้ว่า “ตราบเท่าที่โลกยังใช้น้ำมันเป็นพลังงานหลักและยังซื้อขายน้ำมันในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์ เราก็จะไม่มีทางหลุดจากคำถามที่ว่าเมื่อไหร่ที่โลกจะเลิกใช้พลังงานน้ำมันและเปลี่ยนไปใช้พลังงานทดแทนอย่างอื่นที่ดีกว่า”

นอกจากนี้เขากล่าวเพิ่มเติมอีกว่า “คำถามหว่านแหเกี่ยวกับอนาคตของน้ำมันนอกจากจะเป็นการถามเรื่องอนาคตของราคาน้ำมันแล้ว ยังเป็นการถามถึงอนาคตของกลุ่มโอเปและซาอุดิ อาระเบียด้วยในฐานะผู้กุมตลาดน้ำมันดิบรายใหญ่รายหนึ่งของโลกและถึงแม้เราจะถกเถียงกันถึงคำถามของเรื่องนี้มานานพอแล้วแต่คำตอบที่ได้ก็ไม่เคยเข้าใกล้กับความเป็นจริงเลย ”

จุดสูงสุดของราคาน้ำมันดิบก็ยังเป็นเพียงทฤษฎี

คำว่า “จุดสูงสุดของกระบวนการผลิตน้ำมัน” เป็นคำที่หมายถึงกระบวนการผลิตน้ำมันดิบของโลกจะถึงจุดสูงสุดทางทฤษฎีก่อนที่กระบวนการผลิตน้ำมันจะเริ่มลดลง ตามหลักแล้วเรื่องนี้ส่งผลดีต่อราคาน้ำมันดิบตราบเท่าที่พลังงานทดแทนยังไม่สามารถขึ้นมาแทนที่ได้จริงๆ

“จุดสูงสุดของปริมาณความต้องการน้ำมันดิบ” จะเป็นจุดจบของตำนานการครอบครองตลาดพลังงานโดยน้ำมันดิบมาอย่างยาวนานซึ่งจะพลักให้นักลงทุนและรัฐบาลต้องหันไปลงทุนอย่างอื่นที่ไม่ใช่พลังงานที่มาจากถ่านหิน ถ้าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงจะเป็นข่าวร้ายอย่างที่สุดกับวงการน้ำมันดิบเลย อ้างอิงจากรายงานของสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ประจำประเทศฝรั่งเศสคาดการณ์ว่าปริมาณการใช้งานน้ำมันดิบจะไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้วภายใน 10 ปีข้างหน้านี้

ถ้าว่ากันตามหลักเหตุและผลแล้วความต้องการน้ำมันดิบไม่อาจคงอยู่ได้ตลอดไป

สิ่งที่ตลกที่สุดคือหลังจากที่รายงานฉบับนี้ของ IEA เผยแพร่ออกสู่สาธารณชนแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นเลยในอีกสองสัปดาห์ถัดมาคืองานวิจัยทฤษฎีความต้องการน้ำมันในตลาดของแอนดี้ ฮอลล์ได้รับรางวัลชนะเลิศ ลูกค้าของฮอลล์และตัวเขาเองได้กำไรจากการลงทุนในน้ำมันมากกว่าร้อยล้านเหรียญสหรัฐฯ ในขณะที่งานวิจัยจาก IEA บอกว่าน้ำมันดิบกำลังจะหมดไปแต่ฮอลล์และลูกค้าของเขาสามารถทำกำไรได้จากขาขึ้นของราคาน้ำมันดิบ

แอนดี้ ฮอลล์กล่าวในงานที่เขาได้รับรางวัลว่า “ปริมาณความต้องการน้ำมันดิบเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ อย่างมีนัยสำคัญมาตั้งแต่ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองและทุกคนก็เชื่อว่าความต้องการน้ำมันดิบจะคงอยู่ต่อไปตราบนานเท่านาน แต่ในความเป็นจริงแล้วไม่มีอะไรคงอยู่ไปได้ตลอดกาลเมื่อเทคโนโลยีของมนุษยชาติพัฒนาไปไกลอย่างมากในยุคปัจจุบันทำให้ความเป็นไปได้ที่พลังงานทดแทนอย่างเช่น รถไฟฟ้า จะเข้ามาแทนที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ แม้ก่อนปี 2030 จะมาถึงผมยังเชื่อว่าพลังงานไฟฟ้าจะยังไม่เข้ามาแทนที่พลังงานน้ำมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่ที่เราจะได้เห็นแน่นอนคือการหยุดเติบโตของพลังงานน้ำมันและการลดลงของการใช้พลังงานเชื้อเพลิงในระดับโลก” อย่างไรก็ตามในขณะที่เขากำลังพูดถึงเรื่องแนวโน้มการใช้งานน้ำมันดิบจะลดลงในอนาคตแต่ก็พึ่งมีข่าวการค้นพบแหล่งน้ำมันใหม่ใน บราซิล นอร์เวย์ และ กายอานา

ราคาน้ำมันดิบอาจขึ้นไปแตะ $100 ได้อยู่ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

เมื่อมีคนถามแอนดี้ ฮอลล์ว่า “เป็นไปได้ไหมที่เราจะได้เห็นราคาน้ำมันที่ระดับราคา $100 อีกครั้ง?” ฮอลล์ ตอบกลับมาว่า “แน่นอนแต่อาจจะแค่ชั่วครู่เท่านั้นก่อนที่ราคาจะปรับตัวกลับลงไป”

ย้อนเวลากลับไปโดยสังเขปเกี่ยวกับราคาน้ำมันดิบในอดีต ครั้งหนึ่งในปี 2008 ช่วงที่โลกประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจ สหรัฐฯ สามารถพลิกฟื้นเศรษฐกิจกลับขึ้นมาได้จากการค้นพบวิธีสกัดน้ำมันแบบใหม่ก่อนที่จะกลายมาเป็นน้ำมันดิบ WTI อย่างที่เราทราบในปัจจุบันซึ่งตอนนั้นราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ เคยขึ้นไปแตะระดับราคาที่ $100 ได้เป็นครั้งแรก

การร่วงลงจากจุดสูงสุด $147

การทรุดลงของตลาดหุ้นอย่างรุนแรงในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทำให้ราคา น้ำมันดิบ WTI ร่วงลงจากจุดสูงสุดของราคาที่ $147 ต่อบาร์เรลในเดือนกรกฎาคมปี 2008 เหลือเพียงราวๆ $32 เท่านั้นในเดือนธันวาคมปีเดียวกัน

กราฟราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัสแบบรายเดือน



อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบสามารถดีดตัวกลับขึ้นมายังระดับราคาที่ $80 ได้ในช่วงเริ่มต้นปี 2010 และหลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ราคาน้ำมันในตลาดได้อีกว่าจะวิ่งไปในทิศทางใดกันแน่ การประท้วงในช่วงฤดูใบไม้ผลิของอาหรับในปี 2011 กลายเป็นชนวนที่ก่อให้เกิดวิกฤติในลิเบียต่อมาซึ่งไปสู่สงครามกลางเมืองในแอฟริกาเหนือ การแทรกแซงทางการทหารและการตายของทรราชอย่างมูอัมมาร์ กัดดาฟี ครั้งหนึ่งลิเบียเคยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตน้ำมันรายสำคัญของกลุ่มโอเปก ลิเบียเคยมีกำลังการผลิตน้ำมันมากถึง 1.5 ล้านบาร์เวลต่อวันก่อนที่กำลังการผลิตน้ำมันแทบเหลือศูนย์ในช่วงปลายปี 2011 หลังจากการตายของกัดดาฟี

การที่ลิเบียต้องถูกลดบาบาทลงไปจากลุ่มโอเปกเพราะเหตุผลนี้กระทบต่อน้ำมันดิบ WTI ของสหรัฐฯ ไปด้วยจนไม่สามารถยืนหนึ่งในฐานะน้ำมันดิบอันดับหนึ่งของโลกได้และกลายมาเป็นน้ำมันดิบเบรนท์ ขึ้นมาครองตำแหน่งอันดับหนึ่งแทน ในตอนนั้นราคาน้ำมันดิบ Brent สามารถขึ้นมายืนเหนือระดับราคา $100 บาร์เรลได้ในเดือนมกราคมปี 2011 โดยที่ราคาไม่ปรับตัวลงมาต่ำกว่า $100 เลยเป็นเวลานานกว่า 3 ปีครึ่ง

กราฟราคาน้ำมันดิบเบรนท์แบบรายเดือน

หลังจากนั้นก็เป็นการเปลี่ยนแปลงของตลาดน้ำมันอีกในระลอกที่สองเมื่อสหรัฐฯ สามารถค้นพบวิธีที่ทำให้น้ำมันดิบ WTI ของตนเองมีประสิทธิภาพมากยิ่งกว่าเดิมในปี 2014 หลังจากนั้นเป็นต้นมาบทบาทของโอเปกและประเทศซาอุดิ อาระเบียก็เริ่มค่อยๆ มีอิทธิพลกับราคาน้ำมันดิบลดลงไป

ใครจะเชื่อว่าราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯ เคยลงไปเหลือเพียง $26 เมื่อสามปีที่แล้ว

เมื่อสหรัฐฯ สามารถผลิตน้ำมัน WTI ที่ดีขึ้นได้ ทางซาอุดิอาระเบียและกลุ่มโอเปกก็ไม่ยอมแพ้เช่นกัน พวกเขาเลือกที่จะเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันสู้กับสหรัฐฯ จนคนในวงการขนานนามว่า “ปั้มน้ำมันดิบอย่างไรให้เหมือนว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันสิ้นโลก” การกระทำของโอเปกในตอนนั้นพอดีกับตอนที่อิหร่านประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นอับดับ 4 ของโลกกำลังมีเรื่องพิพาทโดนสหรัฐฯ ในยุคสมัยของประธานาธิบดีบารัก โอบาม่า คว่ำบาตรอยู่พอดี

ด้วยการสนับสนุนจากอิหร่านทำให้แผนการของโอเปกและซาอุดิ อาระเบียได้ผล ตอนนั้นราคาน้ำมันดิบ Brent มีราคาอยู่ที่ประมาณ $35 ต่อบาร์เรลในเดือนธันวาคมปี 2018 และราคาน้ำมันดิบ WTI เหลือเพียง $26 ต่อบาร์เรลในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2016

ยังไม่จบเท่านั้นกลุ่มโอเปกและซาอุดิอาระเบียยังได้งัดไม้เด็ดออกมาสร้างความประหลาดใจให้กับวงการน้ำมันในตลาดโลกด้วยการประกาศสร้างกลุ่มพันธมิตรระหว่างโอเปกและกลุ่มประเทศพันธมิตรผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อื่นๆ ของโลกนำโดยรัสเซียและประเทศพันธมิตรอีก 15 ประเทศ

ล่าสุดโอเปกและกลุ่มประเทศพันธมิตรตกลงร่วมกันที่จะลดกำลังการผลิตน้ำมันลง 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันและในเดือนนี้จะลดกำลังการผลิตลงอีก 2.1 ล้านบาร์เรลต่อวันคิดเป็น 2% ของราคาน้ำมันในตลาดโลก อย่างไรก็ตามตอนนี้สหรัฐฯ ได้ขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งในเรื่องของการเป็นผู้ผลิตน้ำมันและเป็นผู้ส่งออกและยังห้ามไม่ให้มีการนำเข้าน้ำมันดิบมานับตั้งแต่ปี 2015

ในช่วงสามปีที่ผ่านมาโอเปกต้องพบกับความท้าทายมากมายในการสร้างสมดุลให้กับราคาน้ำมันดิบทั่วโลกในขณะที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้เพิ่มมาตรการคว่ำบาตรใหม่กับประเทศอิหร่านและเวเนซูเอล่าเพื่อลดความได้เปรียบและบทบาทของกลุ่มโอเปกลงไปอีกเพราะทรัมป์กลัวว่ากลุ่มโอเปกจะเลือกใช้วิธีปั้มน้ำมันอย่างรุนแรงเหมือนดั่งในอดีตและจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอการเติบโตลง

ซาอุดิอาระเบียในช่วงปี 2018 ที่ผ่านมานี้ก็มีชื่อเสียงในแง่ลบมากอยู่ การที่นักข่าวนายจามาล คาชูจกิถูกสังหารในสถานกงศุลซาอุดิอาระเบียและโรงงานกลั่นน้ำมันดิบถูกโจมตีในเดือนกันยายนยังคงตามหลอกหลอนและสร้างผลกระทบเชิงลบต่อเนื่องกับซาอุดิอาระเบียแม้ว่าซาอุดิอาระเบียจะมีข่าวดีที่สามารถดึงบริษัทน้ำมันระดับชาติอย่าง Aramco (SE:2222) เข้าตลาดหลักทรัพย์ของซาอุดิอาระเบียได้สำเร็จแล้วก็ตาม

ความคิดเห็นล่าสุด

กำลังโหลดบทความถัดไป...
การเปิดเผยความเสี่ยง: การซื้อขายตราสารทางการเงินและ/หรือเงินดิจิตอลจะมีความเสี่ยงสูงที่รวมถึงความเสี่ยงต่อการสูญเสียจำนวนเงินลงทุนของคุณบางส่วนหรือทั้งหมดและอาจไม่เหมาะสมกับนักลงทุนทั้งหมด ราคาของเงินดิจิตอลแปรปรวนอย่างมากและอาจได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกต่าง ๆ เช่น เหตุการณ์ทางการเงิน กฎหมายกำกับดูแล หรือ เหตุการณ์ทางการเมือง การซื้อขายด้วยมาร์จินทำให้ความเสี่ยงทางการเงินเพิ่มขึ้น
ก่อนการตัดสินใจซื้อขายตราสารทางการเงินหรือเงินดิจิตอล คุณควรตระหนักดีถึงความเสี่ยงและต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายในตลาดการเงิน ควรพิจารณาศึกษาอย่างรอบคอบในด้านวัตถุประสงค์การลงทุน ระดับประสบการณ์ และ การยอมรับความเสี่ยงและแสวงหาคำแนะนำทางวิชาชีพหากจำเป็น
Fusion Media อยากเตือนความจำคุณว่าข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้ไม่ใช่แบบเรียลไทม์หรือเที่ยงตรงแม่นยำเสมอไป ข้อมูลและราคาที่แสดงไว้บนเว็บไซต์ไม่ใช่ข้อมูลที่ได้รับจากตลาดหรือตลาดหลักทรัพย์เสมอไปแต่อาจได้รับจากผู้ดูแลสภาพคล่องและดังนั้นราคาจึงอาจไม่เที่ยงตรงแม่นยำและอาจแตกต่างจากราคาจริงในตลาดซึ่งหมายความว่าราคานี้เป็นเพียงราคาชี้นำและไม่เหมาะสมสำหรับวัตถุประสงค์เพื่อการซื้อขาย Fusion Media และผู้ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้จะไม่รับผิดชอบใด ๆ สำหรับความเสียหายหรือการสูญเสียที่เป็นผลมาจากการซื้อขายของคุณหรือการพึ่งพาของคุณในข้อมูลที่มีในเว็บไซต์นี้
ห้ามใช้ จัดเก็บ ทำซ้ำ แสดงผล ดัดแปลง ส่งผ่าน หรือ แจกจ่ายข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้โดยไม่ได้รับการอนุญาตล่วงหน้าอย่างชัดแจ้งแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจาก Fusion Media และ/หรือจากผู้ให้ข้อมูล ผู้ให้ข้อมูลขอสงวนสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาและ/หรือการแลกเปลี่ยนข้อมูลที่ให้ข้อมูลที่มีอยู่ในเว็บไซต์นี้
Fusion Media อาจได้รับผลตอบแทนจากผู้โฆษณาที่ปรากฎบนเว็บไซต์โดยอิงจากปฏิสัมพันธ์ของคุณที่มีกับโฆษณาหรือผู้โฆษณา
เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษของเอกสารฉบับนี้เป็นเวอร์ชั่นหลักซึ่งจะเป็นเวอร์ชั่นที่เหนือกว่าเมื่อใดก็ตามที่มีข้อขัดแย้งไม่สอดคล้องตรงกันระหว่างเอกสารเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษกับเอกสารเวอร์ชั่นภาษาไทย