นักลงทุนที่ยังเชื่อมั่นในหุ้นของ Netflix Inc (NASDAQ:NFLX)) ได้รับผลตอบแทนเป็นอย่างดีในช่วงหลายปีมานี้ หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการสตรีมมิ่งมีการดำเนินการที่ดีที่สุดในทศวรรษ โดยได้ผลตอบแทนที่ 3,726.2% ใน 10 ปี
แต่ประวัติศาสตร์อันงดงามนี้ไม่รับประกันถึงอนาคตที่สดใส การเริ่มต้นในทษวรรษใหม่ของ Netflix นั้นเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนเกี่ยวกับการเติบโตของบริษัท เนื่องจากมีบริษัทใหญ่หลายๆ แห่งนั้นต่างก็ต้องการดึงลูกค้ากลับมาด้วยแผนการที่พร้อมจะจ่ายหลายล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อพัฒนาคอนเท้นท์ และเทคโนโลยีใหม่ๆ
เมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัท Walt Disney (NYSE:DIS)) และ Apple Inc (NASDAQ:AAPL)) ได้เปิดตัวบริการสตรีมมิ่งที่เรียกว่า direct-to-consumer หรือการสื่อสารโดยตรงกับผู้บริโภค และในปีถัดไป บริษัท AT&T Inc (NYSE:T)) ก็จะปล่อยแผนบริการวิดีโอสตรีมมิ่งที่ช่อง HBO Max ในขณะที่ Comcast Corp (NASDAQ:CMCSA)) NBCUniversal จะเปิดตัวแพลตฟอร์ม Peacock
การแข่งขันที่ดุเดือดนี้หมายความว่าลูกค้ามีตัวเลือกเพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงแรงกดดันด้านราคา และความต้องการด้านรายจ่ายที่สูงขึ้นตาม ยกตัวอย่างเช่น บริการของ Disney+ ที่คิดค่าบริการที่ $6.99 เหรียญต่อเดือน เทียบกับแผนยอดนิยมของ Netflix ที่ลูกค้าต้องจ่าย $12.99 เหรียญต่อเดือน ทั้งยัง Comcast ที่กำลังวางแผนเรื่องของการสนับสนุนด้านการบริการการทำโฆษณาที่มีต้นทุนต่ำอีกด้วย
เนื่องจากสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หุ้น Netflix ได้เติบโตช้าลงในปี 2019 และสูญเสียมากกว่า 16% นับตั้งแต่เดือนก.ค. เนื่องจากนักลงทุนหลีกเลี่ยงการเดิมพันกับการเติบโตของบริษัทที่โดนโจมตีในทุกๆ ด้าน หุ้นได้ไต่ระดับเพิ่มขึ้นในช่วง 4 เซสชั่นที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ตัวเลขได้เพิ่มขึ้นเพียง 7.5% ตั้งแต่วันที่ 13 ธ.ค. ปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ $332.22 เหรียญ
ในรายงานการปรับปรุงทางการเงินล่าสุด Netflix ได้พยายามแสดงให้เห็นว่า บริษัทมีข้อได้เปรียบในฐานะเป็นบริษัทที่ก่อตั้งแรกๆ ในตลาดโลก ซึ่งมองว่าคู่แข่งรายอื่นๆ อาจจะต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะตามทัน
ในขณะที่มีการเปิดเผยตัวเลขสมาชิกผู้ใช้งานและข้อมูลของยอดรายได้สำหรับผู้ดำเนินการที่ไม่ใช่ของสหรัฐฯ Netflix ได้รายงานว่ามีการเติบโตที่รวดเร็วในตลาดต่างประเทศและจะสามารถชดเชยให้กับส่วนที่สูญเสียไปในอเมริกาเหนือ
การระเบิดของการเติบโตทั่วโลก
ตัวอย่างเช่นในภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา จำนวนผู้ใช้บริการของ Netflix เพิ่มขึ้น 140% ในช่วงระหว่างวันที่ 31 มี.ค. 2017 ถึง 30 ก.ย.ของปีนี้ ในช่วงเวลาดังกล่าวยอดขายพุ่งเกือบสามเท่า ทำรายได้ $4,000 ล้านเหรียญ
ละตินอเมริกามีผู้ใช้บริการเพิ่มขึ้นเป็น 29.4 ล้านรายจาก 15.4 ล้านรายในช่วงเวลาเดียวกันขณะที่รายรับเพิ่มขึ้นกว่า $2,000 ล้านเหรียญ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีมากกว่าสามเท่าในช่วงเวลาเดียวกันเป็น 14.5 ล้านรายจาก 4.7 ล้านรายและเพิ่มรายรับเป็น $1,000 ล้านเหรียญ จาก 116 ล้านเหรียญ
การเปิดเผยข้อมูลที่มีความอ่อนไหวต่อตลาดนี้ มีจุดประสงค์เพื่อลดความกังวลของนักลงทุนเกี่ยวกับผลกระทบของรายได้ จากการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงขึ้นในอเมริกาเหนือ ซึ่งการเติบโตของ Netflix ชะลอตัวลงอย่างชัดเจนในสองสามไตรมาสที่ผ่านมา
ตามข้อมูล สหรัฐฯและแคนาดายังคงเป็นแหล่งรายได้หลักที่ผลักให้รายได้เฉลี่ยต่อเดือนนั้นสูง ซึ่งภูมิภาคต่างๆ ก็มีข้อมูลที่ไม่ห่างมากนัก ในตอนท้ายของไตรมาสที่สาม รายได้สมาชิกรายเดือนเฉลี่ย สำหรับสหรัฐฯ และแคนาดาอยู่ที่ $ 12.36 บนพื้นฐานของการแลกเปลี่ยนที่เป็นกลาง ภูมิภาคยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริกามีค่าเฉลี่ย $10.90 เหรียญ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมีค่า $9.58 เหรียญ และในละตินอเมริกา $9.35 เหรียญ
การดึงดูดสมาชิกทั่วโลกด้วยการผลิตเนื้อหาท้องถิ่นกลายเป็นศูนย์กลางของกลยุทธ์การเติบโตของ Netflix และข้อมูลใหม่ชี้ให้เห็นว่า บริษัท กำลังก้าวไปข้างหน้าในเกมนี้ นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้น Wall Street หลายรายยังคงให้แนวโน้มขาขึ้นในหุ้น Netflix และคาดการณ์ว่า บริษัท จะยังคงสร้างความประหลาดใจให้กับนักลงทุนโดยนำจำนวนสมาชิกต่างประเทศเข้ามาในแต่ละไตรมาสมากขึ้น
Netflix ใช้จ่ายเงินไปกว่า $15,000 ล้านเหรียญในการเขียนโปรแกรมในปีนี้ ซึ่งตัวเลขจะเพิ่มขึ้น หากบริษัทมีการลงทุนการผลิตในเชิงลึกในการสร้างเนื้อหา คอนเท้นท์ที่เป็นท้องถิ่นมากขึ้น
“เราวางแผนที่จะมีการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกหน่อย” ประธานกรรมการบริหาร Reed Hastings กล่าวเมื่อเดือนที่แล้วในการประชุม DealBook
“เรากำลังเติบโตและลงทุนไปทั่วโลก เรามีจุดแข็งในโหมดซีรีส์ ตอนนี้เรากำลังเพิ่มจุดแข็งในโหมดภาพยนตร์” แต่กลยุทธ์นั้นก็มีจุดเสี่ยงของตัวเอง โดยเฉพาะอยา่งยิ่งเมื่อ Netflix ต้องกู้ยืมเพื่อการลงทุนที่กว้างขึ้น
Jason Bazinet นักวิเคราะห์ของ Citi ในหมายเหตุครั้งล่าสุดกล่าวว่าทั้ง Netflix จำเป็นต้องใช้จ่ายมากขึ้นกับเนื้อหาหรือ Wall Street จำเป็นต้องลดการคาดการณ์ตัวเลขของจำนวนผู้ใช้บริการลง เพื่อตอบสนองต่อสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลง และไม่มีเหตุการณ์ไหนเลยที่จะเป็นผลดีต่อหุ้น จากที่เขาคำนวณ หุ้นของ Netflix จะลดลง 15% หากมีการใช้จ่ายมากขึ้นในส่วนของเนื้อหาคอนเท้นท์ ในขณะที่การลดการคาดการณ์จำนวนสมาชิกลงอาจจะทำให้เกิดการดึงกลับ 5% ของหุ้น
สรุป
ช่วงขาขึ้นของหุ้น Netflix นั้นปรับตัวสูงขึ้นโดยไม่มีการจำกัดในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา แต่ด้วยการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ต้นทุนที่สูงขึ้น และความอิ่มตัวของศักยภาพในตลาดภายในประเทศ เหตุผลเหล่านี้จะเป็นเรื่องยากสำหรับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสตรีมมิ่งที่จะสร้างผลตอบแทนที่มหาศาล ได้เหมือนกับช่วงสิบปีที่ผ่านมา