หลังจากที่ได้รับรายงานข่าวดีมาเป็นเวลา 2 สัปดาห์ นักลงทุนต่างก็เริ่มมีความมั่นใจในบริษัทอเมริกันมากขึ้น อันที่จริงก็ไม่แปลกใจสักเท่าไหร่นักที่ดัชนีสำคัญๆ ของสหรัฐฯ จะผ่านสู่จุดสูงสุดใหม่
ดัชนีหลักๆ ของสหรัฐ ที่ทะยานขึ้น 1% เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาได้แก่ ดัชนีS&P 500 ดัชนีดาวน์โจนส์ และ ดัชนีNASDAQ เพราะได้รับความเชื่อมั่นจากรายงานผลกำไรที่เป็นบวกและรายงานอัตราการจ้างงานของเดือนตุลาคมที่มีตัวเลขการจ้างงานสูงถึง 128,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ถึง 75,000 ตำแหน่ง
ในสัปดาห์นี้เราจะยังคงเห็นชื่อใหญ่ ๆ จากภาคเศรษฐกิจต่างๆ ทะยอยรายงานตัวเลขของพวกเขาออกมา ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย บวกกับคำแนะนำในเชิงบวกจะช่วยให้หุ้นทำกำไรได้มากขึ้น และนี่คือหุ้นที่น่าจับตามอง
1. หุ้น Disney
หุ้นของ บริษัท Walt Disney (NYSE:DIS) ที่ปรับลดลงในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมาอาจเผชิญกับความท้าทายอีกครั้งในวันพฤหัสที่ 7 พฤศจิกายนนี้ เมื่อ House of Mouse จะรายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 หลังจากที่ตลาดปิด การคาดการณ์อยู่ที่ กำไรต่อหุ้น $0.94 เหรียญต่อรายรับ 19.290 ล้านเหรียญ
นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีกำไร 35% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เนื่องจากบริษัทได้เพิ่มทุนสำหรับบริการสตรีมทีวี
การลงทุนในแอพพลิเคชั่นของดิสนีย์และวิดิโอออนไลน์นั้น ทำให้ผลประกอบการแซงหน้า 21st Century Fox และมีแนวโน้มว่าจะนำหน้าไปอย่างต่อเนื่อง
After having had a strong run early in the year, หลังจากที่มีผลการกำเนินงานที่ดีในช่วงต้นปีนี้ หุ้นในส่วนของการดำเนินงานด้านให้ความบันเทิงได้หายไป 10% เนื่องด้วยเจ้าของสวนสนุก หนัง และ แอนนิเมชั่นสตูดิโอ ได้ลงทุนในธุรกิจวิดีโอสตรีมมิ่ง เพื่อที่จะท้าทายคู่แข่งอย่าง Netflix (NASDAQ:NFLX) หุ้นของ Disney ปิดวันศุกร์ที่ $132.75 เหรียญ
ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของการเปิดตัวสตรีมมิ่ง Disney+ ที่ต้องใช้เวลานานในการผลิตโปรแกรมนั้นอาจนำไปสู่การสูญเสียประมาณ 900 ล้านเหรียญในไตรมาสของเดือนกันยายน อ้างจากข้อมูลของบริษัท
Disney + จะวางจำหน่ายในรูปแบบแพ็คเกจพร้อมกับ ESPN + และข้อเสนอ Hulu ในราคา $ 12.99 จากวันที่ 12 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นราคาเดียวกับแผนการสมัครสมาชิกยอดนิยมของ Netflix ดิสนีย์ + ของตัวเองจะมีราคา $6.99 ในการเปิดตัว
2. หุ้น CVS Health
CVS Health (NYSE:CVS) จะรายงานผลประกอบการในวันพุธที่ 6 พฤศจิกายน ก่อนตลาดเปิด สำหรับในไตรมาสที่ 3 ปี 2019 นักวิเคราะห์ต่างก็คาดการณ์ว่าจะได้รับผลกำไรต่อหุ้นที่ $1.77 ซึ่งจะแสดงถึงการเติบโต 2% ปีต่อปี ยอดขายมีแนวโน้มที่จะได้รับประมาณ 25% ถึง 63.020 ล้านเหรียญสหรัฐเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
บริษัทได้เพิ่มการคาดการณ์ว่าจะทำกำไรในปี 2019 ในเดือนสิงหาคมเป็นครั้งที่ 2 ในปีนี้ ความสำเร็จของ CVC นั้นเกิดขึ้นจากการรวมตัวของร้านยาต่างๆ และประกันสุขภาพที่รวมไปถึงยาและบริการ สิ่งนี้คือจุดแข็งที่บริษัทคู่แข่งยังไม่มี
ในขณะเดียวกัน บริษัท ผู้ให้บริการด้านสุขภาพของโรดไอส์แลนด์ก็เพิ่มการคาดการณ์ เนื่องจากคู่แข่งค้าปลีกอย่าง Walgreens Boots Alliance (NASDAQ:WBA) ได้ลดราคาและเริ่มปิดสาขา ในเดือนสิงหาคมบริษัท ประกาศว่าจะปิดเพิ่มอีก 200 แห่งในสหรัฐฯ อ้างข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์ก
ในการประชุมครั้งล่าสุดผู้บริหาร CVS กล่าวว่า บริษัท ด้านการดูแลสุขภาพจะเปิดสาขาร้านขายยาน้อยลงกว่าในอดี ตเพื่อมุ่งเน้นการเปลี่ยนร้านค้าที่มีอยู่ เป็นฮับใหม่ด้วยบริการที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ
การคาดการณ์การเติบโตที่แข็งแกร่งของ CVS ช่วยให้หุ้นของบริษัท ซึ่งเพิ่มขึ้นมากกว่า 17% ในช่วงหกเดือนที่ผ่านมา ดีกว่าคู่แข่ง และหุ้นปิดในวันศุกร์ที่ $67.24 หลังจากที่เพิ่มมากกว่า 1%
3. หุ้น Uber Technologies
Uber Technologies (NYSE:UBER) ซึ่งเป็น บริษัท ผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่ที่สุดในโลกคาดว่าจะรายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ในวันจันทร์ที่ 4 พ.ย. หลังจากตลาดปิดตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ Uber จะประกาศผลขาดทุน $0.7 ต่อหุ้น จากยอดขาย 3.630 ล้านเหรียญ
นักลงทุนไม่ได้แสดงความเชื่อมั่นมากนักในอนาคตของ Uber นับตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้นครั้งแรก (IPO) ในเดือนพฤษภาคม หุ้นของบริษัทอยู่ในช่วงขาลงเนื่องจาก Uber พยายามแสดงถึงแผนการที่จะนำไปสู่การสร้างกำไร
การสูญเสียลักษณะนี้ของบริษัทเทคโนโลยีหลายๆ แห่งที่กำลังอยู่ในช่วงของการเจริญเติบโตไม่ใช่สิ่งที่น่าแปลกใจ แต่สิ่งที่น่าสงสัยเกี่ยวกับบริษัทในซานฟรานซิสโกคือการขาดการวางกลยุทธ์ที่ชัดเจนที่จะทำให้องค์กรสร้างกำไรได้
. ความไม่แน่นอนนี้ส่งผลกระทบอย่างหนักต่อหุ้น Uber ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคมของการเสนอขายหุ้น IPO หุ้นได้ลดลง 30% ปิดตลาดที่ $ 31.37 ในวันศุกร์ที่นิวยอร์ก ลดลงประมาณ 0.40%