ราคาทองคำยังคงอยู่ในจุดที่ดูดีที่ $1500 นักลงทุนยังมั่นใจกับสิ่งที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะแถลงในวันพุธนี้
ความคาดหวังในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในสหรัฐฯ เป็นครั้งที่ 3 จะสะท้อนให้เห็นราคาทองคำเป็นอย่างดีซึ่งสอดคล้องกับการอ่านค่าอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดบนเครื่องมือวัดค่าเฟดบน Investing.com ที่ซึ่งกองทุนของรัฐบาลกลางที่เปิดโอกาสให้มีการกำหนดจุดตัดถึง 93% ในอีกไตรมาส เหมือนในเดือนกรกฎาคมและกันยายน และในตอนที่ธนาคารกลางจะเปิดประชุมนโยบายในวันที่ 30 ตุลาคม
ความคาดหวังในการลดอัตราดอกเบี้ยจะทำให้ราคาทองยังแตะที่ $1500
เรามีแนวโน้มว่าจะเกิดการลดอัตราดอกเบี้ยลง แม้ว่าทีมบริหารของทรัมป์ยืนยันว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังอยู่ในสถานการณ์ที่ดี แทนทีทีมบริหารจะออกมาป้องสถานการณ์เศรษฐกิจ พวกเขาน่าจะลดอัตราดอกเบี้ยตามที่ธนาคารกลางวิเคราะห์ไว้ ซึ่งน่าจะเป็นการดีกว่าสิ่งที่ได้ยินมาตลอดคือการที่สหรัฐฯ จะมีอัตราการเติบโตในไตมาสที่ 2 ที่ 2% นั้นจำต้องมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอย่างหนัก เหมือนอย่างประเทศเยอรมันที่อัตราการเติบโตประจำปีได้ชะลอตัวลงอยู่ที่ 0.4% ในไตรมาสที่2 และนั่นดูเหมือนจะอธิบายถึงราคาทองคำได้เป็นอย่างดี
หากธนาคารกลางมีเรื่องให้ต้องแปลกใจ?
แต่จะเกิดอะไรขึ้นหากเฟดตัดสินใจที่จะคงอัตราดอกเบี้ย ประธานเฟด เจย์ พาวเวลก็อาจจะโดนทรัมป์ทวีตด่าอีกครั้ง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับทองคำละ?
นักลงทุนทองส่วนใหญ่จะไม่มีความมั่นใจในการลงทุนระยะกลางถึงระยะยาวเนื่องจากการตัดสินใจของเฟดนั้นอาจจะทำให้ธนาคารกลางตั้งคำถามในการประชุมการตัดสินใจเรื่องนโยบายในเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้
สิ่งที่พนันได้เลย คือหากเฟดเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ ราคาทองคำจะลดลงต่ำกว่า $1500 ทันที
ในช่วงที่ราคาทองคำต่ำสุด สัญญาซื้อขายทองคำล่วงหน้า บน COMEX แตะที่ $1,465 เมื่อวันที่ 29 กันยายน ในขณะที่ การซื้อขายทองคำในตลาดโลก ลงไปแตะที่ $1,459.15 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม ตลาดมีแนวโน้มที่จะทดสอบจุดต่ำสุดและอื่นๆ เว้นเสียแต่ว่า สถานการณ์ Brexit เกิดไม่นิ่งอีกครั้งหรือข้อตกลงการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ จะไม่ได้เกิดขึ้นจริง
ดีเดย์ของราคาน้ำมันในวันพุธ
ราคาน้ำมันก็จะมีการตัดสินกันในวันพุธนี้ด้วย โดยมีการวิเคราะห์ข้อมูลออกมาจากทางองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯมากกว่าทางเฟดในช่วงหกสัปดาห์ที่ผ่านมา ชุดข้อมูลรายสัปดาห์จากทางองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ ดูเหมือนจะมีความไม่ปกติเนื่องมาจากการกลั่นน้ำมัน หลังจากที่สต๊อกน้ำมันดิบได้ไต่ขึ้นไปถึงห้าสัปดาห์ติดต่อกัน ก็มีเรื่องให้น่าประหลาดใจที่จำนวนน้ำมันดิบที่คงคลังอยู่ได้ลดจำนวนลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้เส้นกราฟเริ่มไต่ระดับขึ้นอีกครั้ง แม้ว่าหลังจากที่ข้อมูลราคาจะพุ่งขึ้นอ้างจากทางองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ แต่ราคาน้ำมันล่วงหน้ากลับชะลอตัวเมื่อวันศุกร์ ก่อให้เกิดคำถามว่าแล้วแรงผลักขึ้นจะดีแค่ไหนWTI จบที่ 5.4% ในอาทิตย์ที่ผ่านมา แตะระดับสูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ที่ $56.72 ราคาน้ำมัน Brent จบที่ 4.4% ทำสถิติสูงสุดสามสัปดาห์ที่ $62.09โดยรวมแล้วน้ำมันมีการซื้อขายที่นิ่งๆจนกว่าองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯจะสร้างความประหลาดใจให้กับตลาดเมื่อวันพุธที่ผ่านมาประกาศว่าสต๊อกน้ำมันดิบในประเทศลดลง 1.7 ล้านบาร์เรลเมื่อเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการสร้าง 2.2 ล้านบาร์เรลองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ ยังรายงานว่ามีปริมาณสต๊อกลดลงอย่างมากในคลังน้ำมันเช่นน้ำมันเบนซินและโรงกลั่นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราการกลั่นของโรงกลั่นลดลงสู่ระดับต่ำสุด ท่ามกลางการปิดโรงงานเพื่อปรับปรุงให้ได้มาตรฐานการแปรรูปเชื้อเพลิงทางทะเลรูปแบบใหม่
โอเปกเสนอการลดอัตราการผลิตน้ำมัน
ปัจจัยอีกประการหนึ่งที่สนับสนุนราคาน้ำมันดิบในสัปดาห์ที่แล้วคือรายงานของรอยเตอร์ที่บ่งบอกถึงโอกาสในการประชุมโอเปกที่กำลังจะมีขึ้นในเดือนธันวาคมโดยพิจารณาว่าจะลดอัตราการผลิตกว่า 1.2 ล้านบาร์เรลต่อวันที่ตกลงร่วมกันกับพันธมิตรและประเทศหลักอย่างรัสเซียเมื่อปีก่อน
อย่างไรก็ตามกว่าอีกกว่าหกสัปดาห์จะถึงจะถึงการประชุมโอเปก แต่เพียงแค่พูดถึงการลดกำลังการผลิตในจุดนี้ก็ทำให้ราคาตกต่ำลงมาก
ดังนั้นจะเห็นการทะลุแนวต้านของราคาน้ำมันในอาทิตย์นี้ไหม? หรือจะเป็นเหมือนเดิมที่น้ำมัน WTI อยู่ที่ $50-$53 ต่อบาร์เรล และ น้ำมัน Brent อยู่ที่ $55-$58 ต่อบาร์เรล?
ในสถานการณ์ตลาดที่เริ่มจะแน่น มันก็จะเริ่มวนกลับเข้าสู่ลูปเดิม
ข้อมูลเบื้องต้นตอนนี้ชี้ให้เห็นว่าท่ามกลางสงครามการค้า ปัญหา Brexit และความกังวลเกี่ยวกับภาวะถดถอยทั่วโลกตัวบ่งชี้เรียลไทม์ที่แท้จริงของอุปสงค์อุปทานของน้ำมันคือข้อมูลจากองค์กรข้อมูลด้านพลังงานของสหรัฐฯ รายสัปดาห์
เราจะรอดูข้อมูลอีกครั้งในวันพุธที่จะถึงนี้ แต่คาดว่าการผันผวนของตลาดที่มากขึ้นนั้นจะทำให้มีการเรียกราคาในจุดนี้ยากขึ้นเช่นกัน
Tariq Zahir กรรมการผู้จัดการที่ปรึกษาน้ำมัน Tyche Capital ที่ปรึกษาในนิวยอร์กกล่าวว่า:
“ในขณะที่เราเห็นราคาพุ่งสูงขึ้น แต่ผมรู้สึกว่าเหตุการณ์สำคัญของโลกมีผลต่อทิศทางการเคลื่อนไหวในครั้งต่อไปของราคาน้ำมัน ซึ่งถ้าผิดคาด เราก็วนกลับไปที่เดิมอีกครั้ง”