เมื่อวานนี้บริษัท Tesla (NASDAQ:TSLA) (NASDAQ:TSLA) ทำให้นักลงทุนต้อง ประหลาดใจ อีกครั้ง เมื่อบริษัทรายงานผลประกอบการประจำ ไตรมาสที่สาม ออกมาว่าสามารถทำกำไรเหนือความคาดหมายได้ที่ 342 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าแตกต่างจากตัวเลขที่มีการคาดการณ์เอาไว้ว่าจะมีการขาดทุนสุทธิอยู่ที่ 257 ล้านเหรียญไปอย่างสิ้นเชิง
นักลงทุนในตลาดจึงมีปฏิกิริยาตอบสนองในเรื่องนี้ทันทีโดยมีการเข้าซื้อหุ้นของ Tesla จนทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นไปได้มากถึง 20% ในช่วงหลังปิดตลาด คำถามที่เกิดขึ้นในตอนนี้คือ การเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้นอย่างมากในครั้งนี้เกิดขึ้นจากการที่นักลงทุนเพียงต้องการฉวยโอกาสในการทำกำไรระยะสั้น หรือว่านี่จะเป็นแนวโน้มระยะยาวของหุ้นตัวนี้กันแน่
การที่บริษัทสามารถทำกำไรได้เป็นไตรมาสแรกนับตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2018 เป็นต้นมานี้จะยั่งยืนได้อีกนานเพียงใด สัญญาณที่เกิดขึ้นในตลาดขณะนี้ชี้ให้เห็นว่านักลงทุนกำลังเชื่อเช่นนั้น
ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา ราคาหุ้นของ Tesla ได้ปรับลดลงไปอยู่ต่ำกว่าเส้น 200 DMA แล้วสุดท้ายก็ดีดตัวขึ้นไปอยู่เหนือเส้นนี้ได้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกที่สามารถทำได้นับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2018 เป็นต้นมา
ราคาหุ้นมีการปรับขึ้นมาได้ $46.97 หรือคิดเป็น 18.44% มาอยู่ที่ระดับ $301.65 ในช่วงก่อนเปิดการซื้อขาย และเมื่อเปิดตลาด ราคาจะขึ้นไปทำ peak หนที่สองเพื่อให้เกิดรูปแบบ peak-trough ขาขึ้นได้สมบูรณ์ ซึ่งถือว่าเป็นการสร้างแนวโน้มขาขึ้นได้เป็นครั้งแรกในรอบสองปี สิ่งที่ตลาดวิเคราะห์ไว้ก็คือ แม้ว่าราคาจะมีการปรับลดลงในช่วงนี้ได้ แต่ก็จะเป็นเพียงการปรับฐานของแนวโน้มขาขึ้นเท่านั้น
กลยุทธ์การซื้อขาย
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรรอจนกว่าจะมีจุด peak เกิดขึ้นเป็นรอบที่สองก่อนเพื่อให้แน่ใจว่าราคาจะเป็นแนวโน้มขาขึ้นอย่างแท้จริง และควรรอให้เกิดการย่อตัวเล็กน้อยก่อนเข้าซื้อ
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจรอให้เกิดการย่อตัวลงเล็กน้อยก่อนเปิดสถานะ Long แต่ไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดแนวโน้มที่ชัดเจน
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจพิจารณาเปิดสถานะ Short แทนก็ได้ โดยให้เลือกทำกำไรในช่วงที่น่าจะเกิดการกลับตัวของราคาลงหลังจากที่มีการดีดตัวขึ้น
ตัวอย่างการซื้อขาย - สำหรับการเปิดสถานะ Short
ราคาเข้า: $300
Stop-Loss: $305
ความเสี่ยง: $5
เป้าหมาย: $285
ผลตอบแทน: $15
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3