หลังจากที่หุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ในวงการอาหารสองรายในอเมริกาอย่าง Starbucks และ McDonald’s เติบโตขึ้นอย่างฉุดไม่อยู่ในช่วงปีที่ผ่านมา ขณะนี้เริ่มมีสัญญาณของการชะลอตัวลงให้เห็นแล้ว
ในช่วงเดือนที่ผ่านมา หุ้นของทั้งสองบริษัททำผลงานได้แย่กว่า ดัชนี S&P 500 กล่าวคือ Starbucks ปรับลดลงไปมากกว่า 9% ส่วน McDonald ก็ลดลงไปมากกว่า 3% เช่นกัน
ความอ่อนแรงลงในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา หุ้นของทั้งสองบริษัทเติบโตขึ้นมาอย่างมากและสามารถให้ผลตอบแทนเป็นกอบเป็นกำ ซึ่งเรียกได้ว่านอกจากเพิ่มมูลค่าเงินลงทุนให้นักลงทุนได้มากกว่าสองเท่าแล้ว ยังมีเงินปันผลให้อีกด้วย
การให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจเช่นนี้จึงเป็นการยากสำหรับนักลงทุนที่จะตัดสินใจเลือกว่าหุ้นตัวใดในสองตัวนี้ที่จะคุ้มค่าและเหมาะกับการลงทุนในช่วงห้าปีต่อจากนี้ เราจึงเตรียมข้อมูลบางส่วนมาไว้เพื่อประกอบการพิจารณาดังนี้
McDonald’s ธุรกิจที่เติบโตด้วยเทคโนโลยี
ผลประกอบการในไตรมาสล่าสุดของ McDonald’s ยืนยันถึงตัวเลขที่มีความแข็งแกร่งและเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าบริษัทใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนเพื่อให้มีการเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
ในไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายน ธุรกิจเครือข่ายร้านอาหาร McDonald’s ประกาศว่ามียอดขายทั่วโลกเติบโตขึ้นได้เร็วที่สุดในรอบเจ็ดปี การริเริ่มเปิดจำหน่ายอาหารเช้าตลอดทั้งวันซึ่งมีเมนูหลักอย่างแมคมัฟฟินและผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างโดนัทสติ๊กนั้นจึงช่วยดึงให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการใหม่อีกครั้งได้
กราฟราคาหุ้น McDonald's
ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่บริษัทมีการลงทุนอย่างหนักในด้านเทคโนโลยีใหม่เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งรายใหม่ และยังเป็นการดึงดูดกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบเทคโนโลยีซึ่งมักจะไม่นิยมไปนั่งทานอาหารในร้านแต่ใช้วิธีการสั่งไปทานที่บ้านผ่านบริการอย่าง Uber Eats กลับมาใช้บริการอีกครั้ง
ความคิดริเริ่มทางด้านเทคโนโลยีล่าสุดของ McDonald’s คือการเริ่มทดสอบอุปกรณ์เครื่องครัวอัตโนมัติและการใช้เสียงในการออกคำสั่งออร์เดอร์สำหรับบริการไดรฟ์ทรู เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา McDonald’s ได้ลงทุนซื้อบริษัทผู้พัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ที่เพิ่งก่อตั้งใหม่อย่าง Dynamic Yield ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์คและเทลอาวีฟด้วยมูลค่า 300 ล้านเหรียญ ซึ่งถือว่าเป็นการลงทุนเพื่อควบรวมกิจการครั้งใหญ่ที่สุดของบริษัทในรอบ 20 ปี
นายสตีฟ อีสเตอร์บรุค ประธานกรรมการบริหารของบริษัทเปิดเผยว่า เทคโนโลยีที่ได้จากบริษัท Dynamic Yield จะช่วยในการวิเคราะห์และจดจำความต้องการของลูกค้าที่เคยเข้ามาใช้บริการ รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ซึ่งช่วยให้สามารถเพิ่มยอดขายสินค้าอย่างเช่นเครื่องดื่ม เฟรนช์ฟรายส์ที่จำหน่ายในร้านได้
นอกจากนี้ การจ่ายเงินปันผลของหุ้น MCD ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่มีความสำคัญมากสำหรับนักลงทุนที่ถือหุ้นไว้ในพอร์ตระยะยาว เมื่อช่วงต้นเดือนนี้ บริษัทมีการจ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้น 8% และปัจจุบัน McDonald's มีการจ่ายเงินปันผลรายไตรมาสอยู่ที่ $1.25 ต่อหุ้น ซึ่งถือว่าเป็นการปรับเพิ่มเงินปันผลอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 43 แล้ว
Starbucks หลังจากที่วิ่งขึ้นมาต่อเนื่องยาวนานก็ย่อมต้องมีการผ่อนคลายบ้าง
หุ้นของบริษัทเครือข่ายร้านกาแฟที่จำหน่ายเครื่องดื่มยอดนิยมอย่างแฟรปูชิโน และลาเต้ฟักทอง ได้ปรับตัวลดลงไปมากกว่า 11% จากจุดสูงสุดที่เคยขึ้นไปแตะได้ในวันที่ 26 กรกฎาคม จนสุดท้ายไปปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ระดับ $88.37
การที่หุ้นปรับตัวลงนี้เกิดขึ้นเมื่อนายแพต กริสเมอร์ ผู้อำนวยการสายการเงินของ Starbucks ออกมาเตือนว่าบริษัทคาดการณ์ว่ากำไรต่อหุ้นในปี 2020 จะลดลงต่ำกว่า “ระดับที่เคยเติบโตได้ที่ 10%”
นายกริสเมอร์กล่าวว่าการได้รับสิทธิ์ประโยชน์ทางภาษีซึ่งเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวในปี 2019 นั้นจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการเติบโตของกำไรของบริษัทในปีหน้า เขายังกล่าวด้วยว่าการเข้าซื้อหุ้นกลับจำนวนประมาณ 2 พันล้านเหรียญที่บริษัทดำเนินการไปในปี 2019 นั้นจะไม่เกิดขึ้นอีกในปี 2020
กราฟราคาหุ้นของ Starbucks
ในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา Starbucks มีผลกำไรที่เติบโตขึ้นได้เกินความคาดหมายมาโดยตลอด โดยในไตรมาสที่สิ้นสุดเดือนมิถุนายน Starbucks รายงานตัวเลขยอดขายที่เติบโตขึ้นได้รวดเร็วที่สุดในรอบสามปี โดยมีจีนและสหรัฐฯ เป็นฐานลูกค้าที่แข็งแกร่งที่สุด
บริษัทเครือข่ายร้านกาแฟซึ่งตั้งอยู่ในซีแอตเทิลแห่งนี้รายงานว่ามียอดขายเมื่อเทียบกับสาขาเดียวกันเพิ่มขึ้น 6% ทั่วโลก ซึ่งถือว่ามากที่สุดนับตั้งแต่ปี 2016 เป็นต้นมา และยังสูงกว่าที่ความคาดหมายส่วนใหญ่ซึ่งอยู่ที่ 4.2%
สำหรับในด้านกลยุทธ์นั้น Starbucks ยังคงครองใจนักดื่มกาแฟได้อย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ตลาดในประเทศเท่านั้น แต่ยังสามารถดึงดูดใจลูกค้าชาวจีนได้มากด้วยเช่นกัน จีนจึงกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในกลยุทธ์การขยายตัวของบริษัท
ในช่วงปีที่ผ่านมา ลูกค้าที่สมัครเป็นสมาชิก Starbucks ได้เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมาก โดยในสหรัฐฯ มีสมาชิกอยู่ 17.2 ล้านคนที่ยังใช้บริการอยู่อย่างต่อเนื่อง ถือว่าเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 14% ผลจากความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ทั้งหมดดังกล่าว ประกอบกับการปรับลดต้นทุนในห่วงโซ่อุปทาน จึงทำให้บริษัทยังเติบโตต่อไปได้
นอกจากนี้ Starbucks ก็ยังให้ผลตอบแทนระยะยาวสำหรับนักลงทุนได้ไม่ต่างจาก McDonald’s ด้วยเช่นกัน
การที่บริษัทจะจ่ายเงินปันผลน้อยกว่า 2% นั้นแทบไม่เคยเกิดขึ้นเลย ในช่วงห้าปีที่ผ่านมา Starbucks จ่ายเงินปันผลเพิ่มขึ้นราว 24% ต่อหุ้น และมีอัตราการจ่ายเงินปันผลอยู่ที่ประมาณ 50% และจำนวนดังกล่าวก็ไม่มีทีท่าว่าจะปรับลดลงในช่วงเวลาอันใกล้นี้แต่อย่างใด
บทสรุป
ทั้ง McDonald’s และ Starbucks ต่างก็เป็นหุ้นระยะยาวที่นักลงทุนระยะยาวควรมีเก็บไว้ หุ้นทั้งสองตัวต่างให้ผลตอบแทนที่ดีมากตลอดช่วงห้าปีที่ผ่านมา และยังไม่มีเหตุผลใดที่ทั้งสองบริษัทจะประสบปัญหาใดๆ ในช่วงห้าปีข้างหน้านี้ได้เลย ดังนั้นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในตอนนี้ที่เราอยากแนะนำก็คือ ให้ลงทุนกับหุ้นทั้งสองตัวเท่าๆ กันแล้วถือไว้ในระยะยาวต่อไป