สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่เริ่มกลับมาก่อตัวอีกครั้งเริ่มสร้างความกังวลให้กับตลาดหุ้นวอลล์สตรีทอีกครั้ง หลังจากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศที่จะเรียกเก็บภาษีจากสินค้านำเข้าของจีนเพิ่มอีกเป็นมูลค่า 550,000 ล้านเหรียญเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นการตอบโต้ที่จีนได้ประกาศเรียกเก็บภาษีกับสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นอีก 75,000 ล้านเหรียญ
นักลงทุนเกรงว่ามาตรการภาษีดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯ เกิดภาวะถดถอย ทำให้ดัชนี S&P 500 ในเดือนสิงหาคมปรับลดลงไปแล้วราว 4%
กราฟรายวันของดัชนี S&P 500 ในช่วงปี 2017-2019
ในขณะที่บริษัทที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ต่างก็พยายามหาวิธีป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนในครั้งนี้กันอย่างสุดความสามารถ หุ้น 3 ตัวต่อไปนี้คือหุ้นที่น่าจะทำผลงานได้ดีขึ้นในช่วงเดือนที่จะมาถึงนี้ เนื่องจากเป็นหุ้นที่ได้รับความเสี่ยงจากสงครามการค้าค่อนข้างน้อย
1. AT&T หุ้นปันผลตัวเด่นที่ให้ผลตอบแทนสูง
หุ้นของ AT&T (NYSE:T) บริษัทโทรคมนาคมที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลกรายนี้ปรับตัวเพิ่มขึ้นได้เกือบ 22% ในปีนี้ โดยไปปิดตลาดเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาที่ระดับ $34.72 เข้าใกล้ระดับสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ซึ่งอยู่ที่ $35.50 ซึ่งทำได้ในวันที่ 22 สิงหาคมเข้าไปทุกที ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 253,700 ล้านเหรียญ
สงครามการค้ามีแนวโน้มว่าจะส่งผลกระทบหนักกับผู้ผลิตสินค้าที่มีรายได้มาจากจีน ส่วนบริษัทผู้ให้บริการที่มียอดขายจากภายในประเทศเป็นส่วนใหญ่ก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่าบริษัทที่ทำธุรกิจข้ามชาติ ซึ่งก็ทำให้ AT&T อยู่ในตำแหน่งที่สามารถจะเดินหน้าต่อไปได้
กราฟรายวันของหุ้น T ในช่วงปี 2017-2019
บริษัทโทรคมนาคมและสื่อยักษ์ใหญ่ที่ตัั้งอยู่ในเมืองดัลลัส รัฐเท็กซัสรายนี้ได้ รายงานผลประกอบการประจำไตรมาสสอง ออกมาในวันที่ 24 กรกฎาคม โดย AT&T สามารถทำกำไรต่อหุ้น (EPS) ที่ $0.89 ได้ตามที่คาด ยอดขายประจำไตรมาสเพิ่มขึ้น 15% ไปอยู่ที่ระดับ 44,960 ล้านเหรียญเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีจำนวนมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 44,890 ล้านเหรียญ
AT&T มีการจ่ายเงินปันผลที่สูงขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทจ่ายเงินปันผล $0.51 ต่อหุ้นต่อไตรมาส ซึ่งเทียบเท่ากับเงินปันผล $2.04 ต่อหุ้นต่อปี ทำให้ทั้งหุ้นและตัวบริษัทเองได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก ผลตอบแทนจากเงินปันผลในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 6.01% คิดเป็นเกือบสามเท่าของผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ซึ่งอยู่ที่ 2.04%
2. Visa ยักษ์ใหญ่แห่งวงการบัตรเครดิตผู้ได้รับความเสี่ยงจากจีนเพียงเล็กน้อย
Visa ถือว่าเป็นอีกบริษัทหนึ่งที่เราเชื่อมั่น บริษัทผู้ทำรายการทางธุรกรรมรายใหญ่ที่สุดของโลกที่ดำเนินงานอยู่ในมากกว่า 200 ประเทศทั่วโลกรายนี้มีตลาดลูกค้าที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในสหรัฐฯ
การที่บริษัทมีความเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบจากจีนน้อยทำให้บริษัทนี้เป็นบริษัทที่ค่อนข้างมีความปลอดภัยสูงมากบริษัทหนึ่งในช่วงที่สงครามการค้ากำลังทวีความรุนแรงมากขึ้น
หุ้นของ Visa ปรับตัวเพิ่มขึ้นเกือบ 35% นับตั้งแต่ช่วงต้นปีเป็นต้นมา จนเป็นหุ้นที่ทำผลงานได้ดีที่สุดของดัชนี ดาว ประจำปี 2019 เลยทีเดียว หุ้นของ Visa ปิดตลาดเมื่อคืนนี้ที่ระดับ $178.38 ใกล้เคียงกับจุดสูงสุดในรอบ 52 สัปดาห์ที่เคยทำไว้เมื่อวันที่ 29 กรกฎาคมที่ระดับ $184.07 ปัจจุบัน Visa ซึ่งเป็นบริษัทบัตรเครดิตที่ใหญ่เป็นอันดับเจ็ดของโลกมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 387,500 ล้านเหรียญ
กราฟรายวันของหุ้น V ในช่วงปี 2017-2019
บริษัทผู้ทำรายการทางธุรกรรมจากซานฟรานซิสโกรายนี้สามารถทำยอดขายและกำไรดีขึ้นได้อย่างง่ายดาย จากการรายงานผลประกอบการ ประจำไตรมาสสาม เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม บริษัทมีกำไรต่อหุ้นประจำไตรมาสซึ่งสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายนอยู่ที่ $1.37 สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ที่ $1.32 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งมีค่าอยู่ที่ $1.20 บริษัททำรายได้มากขึ้น 11.5% เป็น 5,840 ล้านเหรียญ สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 5,700 ล้านเหรียญ
ปริมาณการใช้จ่ายทั้งหมดเมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์แบบคงที่สูงขึ้น 8.7% เป็น 2.23 ล้านล้านเหรียญ ในจำนวนนี้เป็นการทำธุรกรรมในสหรัฐฯ ราว 8.8%
3. McKesson หุ้นกลุ่มสุขภาพที่มุ่งเน้นเฉพาะประเทศอเมริกา
หุ้นตัวสุดท้ายที่นำมาฝากในวันนี้เป็นหุ้นในกลุ่มสุขภาพ ซึ่งก็มีความคล้ายกับหุ้นสองตัวที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น นั่นก็คือ บริษัท McKesson (NYSE:MCK) ถือเป็นผู้นำในวงการสุขภาพในการจัดจำหน่ายยา และมีความเสี่ยงน้อยที่จะได้รับผลกระทบทางรายได้จากจีนเนื่องจากยอดขายส่วนใหญ่มาจากสหรัฐฯ
หุ้นของ McKesson ปิดตลาดเมื่อวานนี้ที่ระดับ $138.75 โดยปรับขึ้นมาเฉพาะในปีนี้แล้วถึง 25% ทำให้มูลค่าตลาดในปัจจุบันอยู่ที่ 25,600 ล้านเหรียญ เมื่อวันที่ 23 สิงหาคมที่ผ่านมา หุ้นของบริษัทก็เพิ่งจะไต่ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดใหม่ในรอบ 52 สัปดาห์ได้ที่ $150.82
กราฟรายวันของหุ้น MCK ในช่วงปี 2017-2019
บริษัทจากเมืองเออร์วิงในรัฐเท็กซัสแห่งนี้รายงานผลประกอบการออกมาในวันที่ 31 กรกฎาคมว่ามีกำไรและรายได้สูงกว่าที่คาดการณ์เอาไว้ เนื่องจากการดำเนินการส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในสหรัฐฯ โดยบริษัทประกาศกำไรต่อหุ้นออกมาที่ $3.31 ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ $3.03 ในขณะที่รายได้ก็เพิ่มสูงขึ้น 6% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยขยับไปเป็น 55,700 ล้านเหรียญ สูงกว่าที่คาดไว้ที่ 54,000 ล้านเหรียญ
ผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทมาจากธุรกิจยาในสหรัฐฯ และหน่วยธุรกิจที่ให้บริการช่วยเหลือเฉพาะทางซึ่งมีผลการดำเนินงานดีขึ้น 8%
การที่ผลประกอบการดีขึ้นทำให้บริษัท McKesson ต้องปรับตัวเลขการคาดการณ์สำหรับช่วงเวลาที่เหลือในปีนี้ขึ้นอีก โดยได้ปรับตัวเลขกำไรต่อหุ้นที่คาดการณ์ไปอยู่ในช่วง $14.00 ถึง $14.60 เพิ่มขึ้นจากเป้าหมายเดิมซึ่งอยู่ที่ $13.85 ถึง $14.45