S&P 500 จะอยู่ที่ไหนในปี 2026? นี่คือฉันทามติล่าสุดจากนักวิเคราะห์
นายวิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ยืนยันว่าสหรัฐฯ ได้ขยายเวลาให้บริษัทหัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของจีนให้สามารถซื้อชิ้นส่วนอุปกรณ์ต่างๆ จากผู้ผลิตในสหรัฐฯ ได้ต่อไปเป็นเวลา 90 วัน ทำให้ตลาดเกิดการขยับตัวค่อนข้างมาก โดยหลังมีการประกาศนี้ออกมา หุ้นในกลุ่มผู้ผลิตชิปก็ได้ปรับตัวสูงขึ้น และคาดกันว่าการขยับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มนี้จะส่งผลให้ดัชนีอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์แห่งฟิลาเดลเฟีย เพิ่มสูงขึ้นอย่างน้อยระยะหนึ่งในช่วงนี้
ในช่วงก่อนหน้านี้นั้นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตชิปต้องเผชิญปัญหาเกี่ยวกับราคาและปริมาณคงคลังของสินค้าที่มีอยู่ในมืออย่างค่อนข้างสาหัส แต่สถานการณ์ก็กลับมาพลิกผันได้ด้วยประกาศครั้งนี้เพียงครั้งเดียว
ในปีที่ผ่านมา บริษัทหัวเว่ยมีการซื้อชิปและส่วนประกอบอื่นๆ จากบริษัทผู้ผลิตในสหรัฐฯ อย่าง Qualcomm (NASDAQ:QCOM) และ Intel (NASDAQ:INTC) รวมมูลค่าถึง 11,000 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 16% ของมูลค่าการซื้อจากทั่วโลกที่ระดับ 70,000 ล้านเหรียญ จึงค่อนข้างเป็นไปได้มากว่าหัวเว่ยจะพยายามทุ่มทุนเพื่อซื้อสินค้าดังกล่าวจากสหรัฐฯ ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในช่วงที่มีการขยายเวลาให้ 90 วันนี้
แม้ว่าสงครามทางการค้าจะยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงง่ายๆ และสหรัฐฯ เองก็อาจจะต้องเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวไปพร้อมกันกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็ตาม การเคลื่อนไหวของตลาดในระยะสั้นก็ยังดูเหมือนว่าจะสามารถกลับตัวได้และมีแนวโน้มว่าจะสูงขึ้น
กราฟรายวันของดัชนี SOX
ดัชนีอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์เริ่มสะสมตัวเป็นรูปชายธงและคาดว่าจะเกิดรูปแบบต่อเนื่องได้ การทะลุกรอบแนวรับลงมาอาจร่วงต่อไปถึง 13% จากจุดสูงสุดในวันที่ 24 กรกฎาคมไปยังจุดต่ำสุดในวันที่ 5 สิงหาคมได้
สภาพการณ์เช่นนี้ทำให้วิเคราะห์ได้ว่าตลาดน่าจะกำลังพักตัวและรอให้เกิดปัจจัยใหม่สำหรับการเคลื่อนไหวต่อไป โดยอยู่บนสมมุติฐานที่ว่าแนวโน้มขาลงระยะสั้นจะกลับมาอีกครั้งเมื่อหมดช่วงการทำกำไรแล้ว ราคาที่ทะลุกรอบแนวรับลงมาน่าจะลดต่ำลงมาจากเส้นแนวโน้มขาขึ้นระยะสั้นที่ลากมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนได้อีก และผลักให้ดัชนีลงไปต่ำกว่าจุดต่ำสุดของเดือนธันวาคมเหมือนๆ กันกับดัชนีอื่นๆ ซึ่งไม่สามารถไต่ขึ้นมาเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นได้ในช่วงเวลาเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การที่หัวเว่ยได้รับการผ่อนผันในครั้งนี้ทำให้นักลงทุนที่เปิดสถานะ short ไว้ต้องรีบปิดสถานะและหันมาเปิด long กันยกใหญ่ การกลับลำกลางคันเช่นนี้ทำให้เกิด gap เหนือแนวชายธงซึ่งกลายเป็นแนวรับทางเทคนิคในขณะนี้
แม้เราจะไม่รู้ว่าการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้จะคงอยู่ต่อไปได้นานเพียงใด แต่สิ่งที่จะเป็นไปได้มากคือ หัวเว่ยน่าจะมีความต้องการซื้อสินค้าจากผู้ผลิตชิปของผู้ผลิตชิปของสหรัฐฯ ค่อนข้างมาก และผลทางจิตวิทยาจากสถานการณ์ดังกล่าวก็น่าจะผลักดันให้ราคาหุ้นในกลุ่มดังกล่าวขึ้นไปทดสอบที่จุดสูงสุดตลอดกาลที่ระดับ $16,24 ซึ่งสูงกว่าเดิมไปอีก 7% ได้
กลยุทธ์การซื้อขาย
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรรอจนกว่าราคาจะขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ก่อนที่จะเชื่อว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้นจริง
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานปลาง อาจรอให้เกิดแนวรับเหนือชายธงเสียก่อน โดยรอให้มีแท่งเทียนยาวสีเขียวที่ยาวกว่าแท่งสีแดงหรือแท่งเล็กๆ สีใดก็ได้หลังจากที่ราคาสะท้อนจากแนวชายธงแล้ว
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจพิจารณาซื้อขายได้ตามที่เห็นสมควร หลังจากที่คำนวณความเสี่ยงและผลตอบแทนแล้วว่าสาม
ารถยอมรับความเสี่ยงในระดับดังกล่าวได้
ตัวอย่างการซื้อขาย
-
ราคาเข้า: $1,500
-
Stop-Loss: $1,467
-
ความเสี่ยง: $33
-
เป้าหมาย: $1,600
-
ผลตอบแทน: $100
-
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3
