ดัชนี S&P 500 ยังคงค่อนข้างโลดโผนมาตลอดปี 2019 และเคยมีการเทขายออกอย่างหนักในเดือนพฤษภาคมหลังจากช่วงที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนทวีความรุนแรงมากขึ้นจนทำให้เกิดความกังวลว่าเศรษฐกิจของทั่วโลกอาจเกิดการชะลอตัว อย่างไรก็ตามการคาดการณ์ที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงนั้นช่วยให้ดัชนีนี้ปรับตัวสูงขึ้นทำลายสถิตินับตั้งแต่ปี 1955 เป็นต้นมาได้ในเดือนมิถุนายน จากนั้นอีกเพียงไม่กี่สัปดาห์ถัดมา ดัชนีก็ทำสถิติสูงสุดครั้งใหม่ได้เหนือระดับ 3,000
เฉพาะในปีนี้ ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้นราว 20% (YTD) S&P Global Market Intelligence รายงานว่าดัชนีมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 4.2 ล้านล้านเหรียญ โดยมีหุ้นในสองกลุ่มอุตสาหกรรมที่เป็นผู้นำในการสร้างผลงานให้ดัชนี S&P 500 เติบโตในปี 2019 ได้ก็คือ หุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและกลุ่มบริการสื่อสาร
1. ผลงาน 25% ของดัชนี S&P 500 มาจากกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศ
กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศยังคงนำโด่งในปี 2019 โดยมีกองทุนรวมดัชนีหลักของกลุ่มอย่าง กองทุนกลุ่มอุตสาหกรรมเทคโนโลยี SPDR ซึ่งปรับตัวขึ้นได้ 33% และทำผลงานได้ดีกว่าดัชนี S&P 500 ในปีนี้เสียอีก ผลงานราว 25% ของผลตอบแทนที่ดัชนี S&P 500 ทำได้ทั้งหมดเกิดจากอุตสาหกรรมกลุ่มนี้
หากพิจารณาหุ้นดังๆ ในกลุ่มนี้จะพบว่าการที่กลุ่มอุตสาหกรรมนี้จะทำผลงานได้ดีมากนั้นไม่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
Microsoft (NASDAQ:MSFT) บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลกเป็นหุ้นที่ฟื้นตัวในตลาดหุ้นปี 2019 ได้มากที่สุด โดยเฉพาะในปีนี้ปรับตัวขึ้นไปแล้ว 38% บริษัทซอฟต์แวร์ยักษ์ใหญ่ในเมืองเรดมอนด์ รัฐวอชิงตันแห่งนี้ทำผลงานได้คิดเป็น 7% ของผลงานทั้งหมดในปีนี้ของดัชนี S&P 500 ปัจจุบัน Microsoft มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 292,000 ล้านเหรียญในปี 2019 โดยมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 1.07 ล้านล้านเหรียญ บริษัทยังมีการเติบโตที่ดีเนื่องมาจากแพลตฟอร์มคอมพิวเตอร์ระบบคลาวด์ที่เรียกว่า Azure
Apple (NASDAQ:AAPL) เป็นหุ้นที่ทำผลงานให้กับตลาดได้เป็นอันดับสอง โดยผลงานของ Apple คิดเป็น 5% ของผลงานทั้งหมดในปีนี้ของดัชนี S&P 500 หุ้นของบริษัทผู้ผลิตไอโฟนรายนี้เพิ่มขึ้น 33% ในปี 2019 มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 204,000 ล้านเหรียญ และมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 960,600 ล้านเหรียญ นักลงทุนต่างเชียร์ให้บริษัทในเมืองคูเปอร์ติโน ในรัฐแคลิฟอร์เนียแห่งนี้ให้พยายามสร้าง ฐานรายได้ จากบริการใหม่ๆ ให้มากขึ้นเพื่อชดเชยยอดขายไอโฟนที่ชะลอตัวลง
หุ้นในลำดับที่สามและสี่ในกลุ่มที่สร้างผลงานให้กับตลาดได้ค่อนข้างมากมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันคือ กลุ่มธุรกิจบัตรเครดิต Visa (NYSE:V) มีมูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้น 38% คิดเป็น 3% ของผลงานที่ S&P 500 ทำได้ในปีนี้ โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 107,000 ล้านเหรียญและมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 394,400 ล้านเหรียญ ในขณะที่ Mastercard (NYSE:MA) มีมูลค่าหุ้นในปีนี้เพิ่มสูงขึ้น 47% ทำให้มูลค่าตลาดเพิ่มขึ้นอีก 92,000 ล้านเหรียญกลายเป็น 280,900 ล้านเหรียญ บริษัททำผลงานได้คิดเป็น 2.5% ของผลงานทั้งหมดของดัชนีในปีนี้ โดยหุ้นทั้งสองตัวนี้ปรับตัวขึ้นสูงได้จากสังคมปัจจุบันมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนการใช้กระดาษมาเป็นระบบดิจิทัล
หุ้นตัวอื่นๆ ในกลุ่มเดียวกันที่ทำผลงานได้ค่อนข้างดียังรวมไปถึง Cisco (NASDAQ:CSCO), Intel (NASDAQ:INTC), Adobe (NASDAQ:ADBE), IBM (NYSE:IBM) และ PayPal (NASDAQ:PYPL)
2. ผลงาน 12% ของดัชนี S&P 500 มาจากกลุ่มบริการสื่อสาร
กลุ่มบริการสื่อสารทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในปี 2019 โดยมีกองทุนรวมดัชนีที่มีการซื้อขายมากที่สุดอย่าง กองทุนกลุ่มบริการสื่อสาร SPDR สามารถปรับตัวขึ้นได้ 25%
เมื่อพิจารณาหุ้นในกลุ่มนี้จะเห็นว่า Facebook (NASDAQ:FB) ยังเป็นผู้นำของกลุ่มที่ทำผลงานให้กับดัชนี S&P 500 ในปีนี้ได้มากที่สุด คิดเป็น 5% ของผลงานรวมของดัชนี โดยหุ้นของ Facebook ปรับตัวขึ้นในปีนี้ได้ถึง 50% และมีมูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 562,000 ล้านเหรียญ เนื่องจากนักโฆษณายังคงให้ความสนใจกับ Facebook อยู่มาก แม้ว่าจะมีปัญหาในเรื่องนโยบายความเป็นส่วนตัวและ ปัญหาเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ที่ปรากฏออกมาในระยะหลังๆ นี้ก็ตาม
หุ้นตัวถัดไปคือ Walt Disney (NYSE:DIS) สามารถสร้างผลตอบแทนให้ดัชนี S&P 500 ในปีนี้ได้ 3% ครองตำแหน่งผู้ทำผลงานดีอันดับสองของกลุ่ม หุ้นของบริษัทปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ได้ 33% และมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 260,800 ล้านเหรียญ เนื่องจากนักลงทุนกำลังให้ความสนใจกับบริการสตรีมมิงตัวใหม่ของบริษัทที่เรียกว่า Disney+
บริษัทแม่ของ Google อย่าง Alphabet (NASDAQ:GOOGL) ก็เป็นหนึ่งในหุ้นที่ช่วยสร้างผลงานให้กับตลาดในปีนี้ได้เป็นอย่างดี หุ้นของ Alphabet ปรับสูงขึ้นเกือบ 18% มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 63,000 ล้านเหรียญ และมีมูลค่าตลาดปัจจุบันอยู่ที่ 850,600 ล้านเหรียญ คิดเป็น 2% ของผลงานที่ดัชนี S&P 500 ทำได้ในปีนี้
หุ้นตัวอื่นๆ ที่ทำผลงานได้ค่อนข้างดีในกลุ่มเดียวกันประกอบไปด้วย Netflix (NASDAQ:NFLX), AT&T (NYSE:T), Twitter (NYSE:TWTR), Comcast (NASDAQ:CMCSA) และ Take-Two (NASDAQ:TTWO)