สภาวะการลงทุนนอกสหรัฐฯ มีดังนี้
หากคุณลงทุนในหุ้นหรือตลาดอื่นๆ ในประเทศพัฒนาแล้วในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2019 คุณทำถูกต้องแล้ว เพราะตลาดอื่นๆ ก็ปรับตัวไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดสหรัฐฯ สังเกตได้จากดัชนี S&P 500 ที่ปรับตัวขึ้นได้ 17.4% ในช่วงครึ่งปีแรก ดัชนี DAX ของเยอรมนีก็ปรับขึ้นได้ 17.42% ส่วนดัชนี S&P/ASX 200 ของออสเตรเลียก็เพิ่มขึ้นได้ 17.2% รวมถึงดัชนี S&P/TSX คอมโพสิต ของแคนาดา แม้จะทำผลงานได้ไม่ดีนัก แต่ก็ยังปรับขึ้นได้ 14.4%
การปรับตัวของตลาดในทิศทางใกล้เคียงกันเช่นนี้ก็มีข้อเสียอยู่เช่นกันคือ หากตลาดใดตลาดหนึ่งร่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดสหรัฐฯ ตลาดอื่นๆ ก็จะร่วงลงตามไปด้วย
ดัชนี S&P 500 ที่เคยปรับลดลง 14% ในช่วงไตรมาสที่สี่ของปี 2018 ทำให้ดัชนี NASDAQ 100 ร่วงลงไป 17% ต่อเนื่องไปถึงดัชนี DAX ก็ปรับลดลง 14% รวมทั้งดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสก็ลดลงไปตามเกือบ 14% ด้วย
ในทำนองเดียวกัน ตลาดที่เคยเข้มแข็งในช่วงไตรมาสแรกแล้วกลับอ่อนแรงลงในไตรมาสที่สองอันเป็นผลจากความผันผวนที่เกิดจากสงครามทางการค้าของสหรัฐฯ นั่นเอง เหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดต่างๆ ในประเทศพัฒนาแล้วเป็นไปในทิศทางเดียวกันก็คือเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศดังกล่าวในปัจจุบันมีความเชื่อมโยงกันอย่างมาก รวมทั้งการซื้อขายด้วยระบบคอมพิวเตอร์อย่างในปัจจุบันก็สามารถทำให้แต่ละประเทศทำการซื้อขายพร้อมกันได้ในเวลาอันรวดเร็ว ดังนั้นสมมุติว่ามีนักลงทุนรายใหญ่เลือกที่จะลงทุนในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กองทุนที่ลงทุนตามดัชนีมาตรฐานก็ย่อมที่จะต้องเข้าไปลงทุนตาม
การที่ตลาดของประเทศหนึ่งไม่เชื่อมโยงสอดคล้องกับภาพรวมของประเทศอื่นๆ ในปีนี้หรือปีก่อนๆ ก็อาจเกิดจากเหตุผลเฉพาะเรื่องที่แตกต่างกันออกไป เช่น ดัชนี FTSE 100 ของสหราชอาณาจักรที่ปรับตัวขึ้น 10.3% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2019 แต่ปรับขึ้นในไตรมาสที่สองได้เพียง 2% ก็ถือว่ายังอ่อนตัวลงหากเทียบกับตลาดเยอรมนี ฝรั่งเศส และอิตาลี เนื่องจากอังกฤษยังคงมีความเสี่ยงจากความผันผวนในเรื่องการออกจากสหภาพยุโรปหากไม่มีการวางแผนการเปลี่ยนผ่านที่ดี
ปัจจัยหลักที่มีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับทุกตลาดในปีนี้ก็คือสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีน ซึ่งตลาดของทั้งสองประเทศได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการใช้มาตรการตอบโต้กันทางภาษีจนทำให้เกิดผลกระทบในวงกว้าง ตลาด ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ ที่กำลังฟื้นตัวก็ไปต่อได้ลำบาก เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายรายก็ยังสนใจที่จะทำตลาดกับจีน
แน่นอนว่าการที่ดัชนี S&P ปรับตัวสูงขึ้นได้ในช่วงครึ่งปีแรกนั้นส่วนมากเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสแรก เพราะในไตรมาสที่สองมีการปรับขึ้น 3.79% เนื่องจากมีการปรับลดลงในเดือนพฤษภาคมอยู่ด้วย 6.6% เช่นเดียวกันกับ ดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ที่ปรับขึ้นได้ 19.5% ในช่วงครึ่งปีแรก แต่ก็ลดลง 0.5% ในช่วงไตรมาสที่สอง ซึ่งก็เกิดจากการปรับลดลงในเดือนพฤษภาคม 6.8% ด้วยนั่นเอง
แล้วจะมีใครที่สามารถทำกำไรจากนอกประเทศของตนเองได้บ้างไหม? ก็อาจจะเป็นได้ แต่คุณจะต้องทำการซื้ออย่างรอบคอบและมีวินัยในการขายอย่างเคร่งครัด (กล่าวคือ ต้องขายเมื่อถึงราคาที่กำหนด)
เมื่อพิจารณาประเทศอาร์เจนตินา หุ้น S&P Merval ปรับตัวสูงขึ้นได้ 37% ในช่วงครึ่งปีแรก และเฉพาะในไตรมาสที่สองสามารถปรับขึ้นไปได้ 24% จึงเป็นตลาดที่ทำผลงานได้ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
อาร์เจนตินาเป็นประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติและมีอนาคตทางเกษตรกรรมที่สดใส แต่เศรษฐกิจยังไม่สามารถขยายตัวได้เต็มที่เนื่องจากค่าเงิน ดอลลาร์ สหรัฐที่ยังแข็งกว่ามาก ทำให้ต้นทุนในการนำเข้าสินค้าสูงและมีรายได้จากการส่งออกน้อยลง รวมทั้งระบบการเมืองที่ยังมีการทุจริตสูงบวกกับความวุ่นวายของหน่วยงานต่างๆ
ตลาดอาร์เจนตินายังน่าจะทำผลงานในครึ่งปีหลังได้ถึง 37% แต่นักลงทุนที่ค่อนข้างคิดอย่างรอบคอบอาจจะยังกังวล เนื่องจากตลาดในขณะนี้ก็ปรับตัวสูงขึ้นมากแล้วและจะคุ้มค่ากับการลงทุนเพื่อกำไรในช่วงครึ่งปีหลังได้อีกหรือ เมื่อพิจารณาจากอดีตในปี 2018 ซึ่งตลาดอาร์เจนตินามีความผันผวนหนักมาก ในปีนั้นดัชนีตลาดอาร์เจนตินาร่วงลงไป 28% ในช่วงเดือนมกราคมจนถึงสิงหาคม จากนั้นในเดือนถัดมาก็ฟื้นตัวกลับขึ้นมาได้ 37% แล้วก็ปรับลดลงไปอีก 20% ภายในระยะเวลาสามสัปดาห์ถัดมา
แม้เศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังแข็งแกร่ง แต่ตลาดมองว่าเป็นการซื้อสูงกว่ามูลค่าจริง
ช่วงระยะเวลาที่เหลือของปี 2019 ตลาดนอกสหรัฐฯ น่าจะมีโอกาสในการทำผลงานได้ดี เพราะการที่เศรษฐกิจของสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าตัวเลขในภาค อุตสาหกรรมการผลิต และภาค ครัวเรือน จะยังไม่ค่อยดีนัก แต่ก็หมายความว่าสหรัฐฯ น่าจะยังมีกำลังซื้อในการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศได้อย่างต่อเนื่อง (ซึ่งรวมถึง น้ำมัน ด้วย)
สิ่งสำคัญที่สุดคือ สหรัฐฯ และจีนได้เจรจาสงบศึกกันในช่วงนี้แล้ว ซึ่งน่าจะเป็นผลดีกับทุกฝ่าย
อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันยังคงอยู่ในระดับต่ำ ส่วน ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รุ่นอายุ 10 ปี ในปีนี้ยังมีอัตราสูงถึงเกือบ 25% โดยอัตราดอกเบี้ยน่าจะยังต่ำอย่างนี้ต่อไป เนื่องจากเฟดและธนาคารกลางยุโรป (ECB) ยังมีความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของเศรษฐกิจอยู่
หากมีความเสี่ยงใดๆ เกิดขึ้น ก็จะเริ่มมีสัญญาณการเข้าซื้อหุ้นจนเกินมูลค่าจริงเกิดขึ้นในตลาดบางแห่งนั่นเอง ตลาดสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำลายสถิติใหม่ได้เมื่อวันพุธก่อนวันหยุดในวันที่ 4 กรกฎาคม แต่ข้อมูลทางเทคนิคชี้ว่า ดัชนี ดาว และ S&P กำลังเข้าสู่ช่วงการซื้อเกินกว่าราคาจริงไปแล้ว ด้านดัชนี CAC 40 ของฝรั่งเศสก็ขึ้นไปทำสถิติสูงสุดระหว่างวันได้ในวันพุธเช่นกัน
การที่ราคาเคลื่อนที่ผ่านระดับสำคัญทางเทคนิคไปนั้นทำให้ไม่สามารถรับรองได้ว่าจะเกิดการย่อตัวขึ้นได้เมื่อไหร่ แต่โอกาสที่ราคาจะยังปรับเพิ่มขึ้นยังคงมีสูง