ปริมาณการจ้างงานนอกภาคการเกษตร ของสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมาเมื่อวันศุกร์ชี้ว่าการเติบโตทางด้านปริมาณการจ้างงานซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญตัวหนึ่งที่จะช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจฟื้นตัวในระยะยาวและยังเป็นปัจจัยที่เป็นตัวเร่งขั้นพื้นฐานที่จะทำให้ตลาดปรับตัวเป็นขาขึ้นได้กลับมาแล้ว โดยภายหลังการประกาศตัวเลขในรายงานนี้ออกมา ตลาดหุ้นที่เคยทำลายสถิติสูงสุดต่อเนื่องก็เริ่มอ่อนแรงลง ส่วนดอกเบี้ยพันธบัตรกลับปรับตัวขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 3 มกราคมเป็นต้นมา รวมทั้งเงิน ยูโร ที่เคยฟื้นตัวได้ก็อาจชะลอลง
การรายงานตัวเลขจากกระทรวงแรงงานเมื่อวันศุกร์ชี้ว่าประเทศสหรัฐฯ มีการสร้างงานจำนวน 224,000 ตำแหน่งซึ่งสูงกว่าที่คาดไว้ที่ 160,000 ตำแหน่งเป็นอย่างมาก ส่วน อัตราการว่างงาน ยังคงสูงขึ้นไปอยู่ที่ 3.7% ซึ่งเกือบจะแตะระดับต่ำสุดในรอบ 50 ปี และท้ายสุดคือ ค่าจ้าง มีการเติบโตขึ้นได้ 3.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ห่างจากตัวเลขที่คาดการณ์เอาไว้ที่ระดับ 3.2% ไปเพียงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้เฟดตัดสินในยกเลิกการใช้นโยบาย ผ่อนปรน ทางการเงินหรือทำให้หุ้นปรับตัวสูงขึ้นทำลายสถิติด้วยค่าเงินที่อ่อนลงแต่อย่างใด แต่เป็นการเพิ่มแรงกดดันให้กับนักลงทุนที่คาดหวังว่าตัวเลขและสภาวะเศรษฐกิจจะซบเซาลงมากกว่า การเปลี่ยนแนวความคิดเกี่ยวกับการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเริ่มที่จะผลักให้ ดอลลาร์ สูงขึ้นในระหว่างที่รอชั่งน้ำหนักเงินยูโรอยู่ ดังจะเห็นได้จากกราฟด้านล่างนี้
เงินดอลลาร์ปรับตัวเพิ่มขึ้นครึ่งเปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับยูโรไปอยู่ที่ขอบล่างของกรอบราคาขาขึ้นที่ลากมาจากราคาต่ำสุดในเดือนพฤษภาคม
ตัวเลข การผลิตในภาคอุตสาหกรรม ของเยอรมนีในวันนี้ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าอาจทำให้เกิดแรงกดดันกับ EUR/USD ได้อีก หลังจากที่ได้ร่วงลงต่ำกว่าเส้น 200 DMA ไปเมื่อช่วงต้นเดือน เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาสกุลเงินคู่นี้ยังดิ่งผ่านเส้น 100 DMA และ 50 DMA ลงไปอีกจนไปอยู่ต่ำกว่าเส้นแนวโน้มขาขึ้นที่ลากมาตั้งแต่วันที่ 23 พฤษภาคม
การปรับตัวลดลงในวันศุกร์ทำให้เส้น RSI ปรับลงไปอยู่ต่ำกว่าระดับ neckline ของ double top ซึ่งชี้ว่าราคาน่าจะเกิดการกลับตัวเป็นขาลง เว้นเสียแต่ว่ายูโรจะฟื้นตัวขึ้นมาได้เหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นได้ การเคลื่อนไหวในขณะนี้ยังอยู่ในกรอบแนวโน้มขาลงระยะสั้นนับตั้งแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นมา
กลยุทธ์การซื้อขาย
นักลงทุนที่ไม่ชอบความเสี่ยง ควรรอให้ราคาขึ้นไปเกินระดับสูงสุดของเดือนมิถุนายนที่ 1.1414 และเกิดการสะสมตัวรอสร้างฐานที่ระดับเหนือเส้น 200 DMA ก่อนที่จะเปิดสถานะ long หรือรอให้มีการทำราคาต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าราคาต่ำสุดของเดือนพฤษภาคมที่ระดับ 1.1000 ก่อน หลังจากนั้นเมื่อมีสัญญาณแนวต้านแล้วจึงค่อยเปิดสถานะ short
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจเปิดสถานะ long ได้เมื่อราคาไปปิดเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้น หรืออาจเลือกเปิดสถานะ short เมื่อราคาปรับตัวลงต่ำกว่าราคาต่ำสุดช่วงกลางเดือนมิถุนายน หรือมีแรงขายออกมาจนราคาไปทดสอบเส้นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้งและทะลุไปได้
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้สูง อาจพิจารณาเปิดสถานะ short เมื่อราคาปิดลงไปต่ำกว่าเส้นแนวโน้มขาขึ้นโดยสังเกตจากแรงหนุนของเส้น 50 DMA หรืออาจจะเลือกเปิดสถานะ long ก็ได้ หากราคาขึ้นไปปิดเหนือเส้นแนวโน้มขาขึ้นบนเหนือเส้น 50 DMA
ตัวอย่างการซื้อขาย short
-
ราคาเข้า: 1.1235
-
Stop-Loss: 1.1250
-
ความเสี่ยง: 15 pips
-
เป้าหมาย: 1.1190 เหนือราคาต่ำสุดของเดือนมิถุนายน
-
ผลตอบแทน: 45 pips
-
อัตราความเสี่ยงต่อผลตอบแทน: 1:3