โดย Ambar Warrick
Investing.com – หุ้นเอเชียร่วงลงในวันจันทร์ ถือเป็นการเริ่มต้นสัปดาห์ที่อ่อนแอในไตรมาสที่สี่ เนื่องจากตลาดยังคงกังวลเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นและการชะลอตัวของการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยความเสี่ยงร่วงลงอย่างมาก
ปริมาณการซื้อขายในภูมิภาคก็ทรงตัวเช่นกันเนื่องจากตลาดจีนเริ่มวันหยุดยาวหนึ่งสัปดาห์ ในขณะที่ตลาดเกาหลีใต้ก็ปิดเช่นกัน
ดัชนีกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงทำผลงานได้ไม่ดีนัก เนื่องจากนักลงทุนปรับลดรายได้ในอนาคตเพราะผลตอบแทนพันธบัตรและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ดัชนี ฮั่งเส็ง ของฮ่องกงร่วงลง 1.6% สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี ขณะที่ ดัชนี Taiwan Weighted ร่วง 0.7% และปรับลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 2 ปี
ความกังวลเกี่ยวกับการกระชับนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ได้รับความสนใจอย่างเต็มที่ในสัปดาห์นี้ ก่อนข้อมูลสำคัญอย่าง รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร จะครบกำหนดรายงานในวันศุกร์ ซึ่งเป็นรายงานที่มีผลต่อเฟดสำหรับแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย หากตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งด้วยนั้นจะทำให้ธนาคารกลางมีพื้นที่มากขึ้นในการขยับขึ้นดอกเบี้ย
ดัชนีดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 0.1% ในวันจันทร์ โดยฟื้นตัวจากการขาดทุนล่าสุด และบ่งชี้ว่าการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยยังคงแข็งแกร่ง
อัตราดอกเบี้ยในประเทศอื่น ๆ ยังมีแนวโน้มสูงขึ้นอีกด้วย ดัชนี ASX 200 ของออสเตรเลียร่วงลง 0.3% ก่อนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยธนาคารกลางในวันอังคารนี้
มีการคาดว่าธนาคารจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 50 จุดพื้นฐาน เพื่อพยายามควบคุมอัตราเงินเฟ้อซึ่งมีแนวโน้มสูงสุดในรอบ 20 ปี
หุ้นญี่ปุ่นมีแนวโน้มที่ต่างออกไป ดัชนี นิคเคอิ 225 พุ่งขึ้น 1% แม้ว่าข้อมูลจะแสดงให้เห็นว่าความเชื่อมั่นทางธุรกิจในประเทศแย่ลงในช่วงไตรมาสที่สาม
แต่ดัชนีก็ซื้อขายใกล้ระดับต่ำสุดในรอบสามเดือน ตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ประสบกับเดือนที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่โควิด19 ระบาดปี 2020 ในเดือนกันยายน
อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นทั่วโลกส่งผลกระทบอย่างมากต่อตลาดหุ้นในปีนี้ โดยตลาดหุ้นเอเชียที่มีความเสี่ยงสูงถูกเทขายออกอย่างหนัก แนวโน้มดังกล่าวคาดว่าจะดำเนินต่อไปเนื่องจากนโยบายการเงินทั่วโลกมีความเข้มงวดมากขึ้น
ความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์ที่ขับเคลื่อนด้วยความเสี่ยงแย่ลงในช่วงสุดสัปดาห์ ท่ามกลางความกังวลที่เพิ่มขึ้นเกี่ยวกับกลุ่ม Credit Suisse ของธนาคารสวิส (NYSE:CS) ซึ่งเป็นหนึ่งในธนาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังเผชิญกับการตรวจสอบสถานะทางการเงินที่เพิ่มขึ้น หลังจากสเปรดของสัญญาแลกเปลี่ยนเครดิตซึ่งให้การป้องกันการผิดนัดชำระหนี้นั้น ได้เพิ่มขึ้นเป็นระดับสูงสุด ตั้งแต่วิกฤตการเงินปี 2008