โดย โอลิเวอร์ เกรย์
Investing.com - ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นในช่วงต้นของวันศุกร์ ในเอเชียแปซิฟิก ดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดตัวลงท่ามกลางความวุ่นวายในเดือนกันยายน เนื่องจากความเชื่อมั่นในความเสี่ยงลดลง จากความกลัวเรื่องเงินเฟ้ออย่างต่อเนื่อง อีกทั้งปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน การชะลอตัวของการเติบโต ไปจนถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว
ในช่วงเซสชั่นซื้อขายของวันพฤหัสบดี S&P 500 ลดลง 51.92 จุดหรือ 1.19% ที่ 4307.53 ดาวโจนส์ ลดลง 546.8 จุดหรือ 1.59% ที่ 33843.93 และ NASDAQ ลดลง 63.86 จุด หรือ 0.44% สู่ 14448.58 สำหรับเดือนนี้ ดัชนี S&P 500 ลดลง4.8% ทำลายสถิติการปรับขึ้น 7 เดือนติดต่อกัน และทำผลงานประจำเดือนแย่ที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 ดัชนีดาวโจนส์ และ Nasdaq ร่วงลง 4.3% และ 5.3% ตามลำดับ ซึ่งทั้งคู่ประสบกับเดือนที่แย่ที่สุดของปี .
ด้านข่าวนโยบายที่น่าติดตาม ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ลงนามในร่างกฎหมายการจัดสรรระยะสั้น ซึ่งจะทำให้รัฐบาลดำเนินการได้จนถึงวันที่ 3 ธันวาคม เพื่อหลีกเลี่ยงเวลาปิดทำการก่อนที่เงินทุนจะหมดลง
ด้านข้อมูล การขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก สำหรับสัปดาห์ก่อนหน้าอยู่ที่ 362,000 ราย นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 335,000 ราย เมื่อดูจากดาวโจนส์ รายงานตำแหน่งงานประจำเดือนตุลาคม ซึ่งถือเป็นตัวแปรบ่งชี้สำคัญสำหรับธนาคารกลางสหรัฐในการพิจารณานโยบายขั้นถัดไป จะออกในวันที่ 8 ตุลาคม
ขณะนี้นักลงทุนกำลังรอข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งจะครบกำหนดในช่วงหลัง เพื่อประเมินแรงกดดันด้านราคา ในขณะที่เศรษฐกิจยังคงฟื้นตัวหลังเกิดโรคระบาด ดัชนีราคาด้านการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) ที่ควรจับตามองอย่างใกล้ชิด คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2% ในเดือนสิงหาคมและ 3.5% เมื่อเทียบเป็นรายปี หลังจากพุ่งขึ้น 3.6% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนกรกฎาคม แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2534