โดย Yasin Ebrahim
Investing.com - ดัชนี S&P 500 ปรับตัวขึ้น โดยได้รับอานิสงฆ์จากการเพิ่มขึ้นของหุ้นขนาดใหญ่ในกลุ่มชิปและเทคโนโลยี
ดัชนี S&P 500 เพิ่มขึ้น 1.06%, ดัชนีดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 0.55% หรือ 188 จุด ส่วน ดัชนีแนสแด็ก เพิ่มขึ้น 1.77%
หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเพิ่มขึ้นมากกว่า 1% ท่ามกลางความต้องการของนักลงทุนที่ต้องการเห็นการเติบโตของตลาด หลังฝ่าแรงกดดันมาหลายสัปดาห์
Apple (NASDAQ: AAPL), Facebook (NASDAQ: FB) และ Microsoft (NASDAQ: MSFT), รวมถึง Alphabet (NASDAQ: {{6369) | GOOGL}}) และ Amazon.com (NASDAQ: AMZN) ต่างปรับตัวเพิ่มขึ้น
ราคากองทุน ETF ของ iShares PHLX Semiconductor (NASDAQ: SOXX) ยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วน Nvidia (NASDAQ: NVDA) และ Marvell Technology (NASDAQ: MRVL) ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน
นอกจากนี้ หุ้นเทคโนโลยียังได้รับแรงหนุนจากการลดลงของ พันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปี เนื่องจากนักลงทุนบางส่วนกำลังเดิมพันว่า ธนาคารกลางสหรัฐจะเริ่มประกาศแผนควบคุมการซื้อพันธบัตรรายเดือนเมื่อไร
รายงานการประชุมเดือนเมษายนของเฟดที่ประกาศออกมา แสดงให้เห็นว่าผู้กำหนดนโยบายของเฟดเริ่มพิจารณาที่จะเจาะประเด็นเรื่องการลดการซื้อพันธบัตรในการประชุมที่กำลังจะมาถึง แต่การเผยแพร่รายงานดังกล่าวเกิดขึ้นก่อนที่จะมีการประกาศตัวเลขจ้างงานที่อ่อนแอและนั่นอาจทำให้การพูดคุยเชิงนโยบายแผ่วลง
"ตัวเลขการจ้างงานเดือนเมษายนลดลงอย่างน่าประหลาดใจ ส่วนตัวเลขในเดือนมีนาคมก็ถูกปรับให้ต่ำลง ดังนั้น แนวโน้มการพูดคุยเชิงนโยบายในหมู่สมาชิก FOMC ซึ่งมีเงื่อนไขว่า "ต้องดำเนินต่อไป...ด้วยความคืบหน้าอย่างรวดเร็ว" อาจจะเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน" Morgan Stanley (NYSE: MS) ระบุในรายงาน
แต่อัตราดอกเบี้ยอาจจะเพิ่มขึ้นอีกครั้ง และนั่นอาจทำให้คุณค่ากลับมามีความสำคัญมากกว่าการเติบโต เนื่องจากนักลงทุนจะขายหุ้นเทคโนโลยี เพื่อเปลี่ยนไปซื้อหุ้นวัฏจักร
"เรายังคงเชื่อว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงจะเพิ่มขึ้น และอย่างที่เราเคยเห็นเมื่อต้นปีนี้ เมื่ออัตราที่แท้จริงสูงขึ้น หุ้นเติบโตที่มีการเพิ่มทวีคูณมักจะปรับตัวลดลง " เดวิด วากเนอร์ ผู้จัดการพอร์ตโฟลิโอของ Aptus Capital Advisors กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับ Investing.com "ดูเหมือนว่า ตอนนี้หุ้นเติบโตจะมีทิศทางขาลงมากกว่าหุ้นคุณค่า ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าแหล่งเงินทุนจะมาจากการขายหุ้นเติบโตต่อไป "
"หากเรายังคงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นและการเพิ่มขึ้นของอัตราผลตอบแทน เราอาจจะได้หุ้นคุณค่าปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปอีกนาน" วากเนอร์กล่าวเสริม
ในขณะเดียวกัน หุ้นกลุ่มพลังงานเป็นหนึ่งในกลุ่มที่มีการปิดตัวในแดนลบ โดยได้รับผลกระทบจากการลดลงของราคาน้ำมัน เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับอุปทานทั่วโลกที่ไหลบ่าเข้ามาจากการที่อิหร่านใกล้จะบรรลุข้อตกลงด้านนิวเคลียร์