InfoQuest - นายชาญชัย พันทาธนากิจ ผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดดัชนีแกว่งตัวออกข้าง โดยปัจจัยแวดล้อมไร้แรงขับเคลื่อน ซึ่งการประชุมคณะทำงานว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจของจีนเมื่อคืนนี้ โดยรวมมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ แต่รายละเอียดยังไม่ชัดเจนโดย มองเป็นกลางต่อประเด็นดังกล่าว
ขณะที่ตลาดหุนสหรัฐเมื่อคืนพักตัวหลังตัวเลขดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) สูงกว่าคาด โดยมองว่าสูงกว่าตลาดคาดเล็กน้อย ยังไม่ทำให้มุมมองการปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ(FED) สัปดาห์หน้าเปลี่ยนไป
สำหรับปัจจัยในประเทศการแถลงผลงานรัฐบาลเมื่อวานนี้ มีรายละเอียดของกรอบเวลาแต่ละนโยบายชัดเจนขึ้น แต่ตลาดตอบรับบางนโยบายไปแล้ว
โดยให้กรอบแนวรับ 1,432 จุด และแนวต้าน 1,450 จุด
*ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์ก (12 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 43,914.12 จุด ลดลง 234.44 จุด หรือ -0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,051.25 จุด ลดลง 32.94 จุด หรือ -0.54% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 19,902.84 จุด ลดลง 132.05 จุด หรือ -0.66%
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวที่ระดับ 39,624.05 จุด ลดลง 225.09 จุด หรือ -0.56% ดัชนีฮั่งเส็งตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดที่ 20,238.21 จุด ลดลง 158.84 จุด หรือ -0.78% และดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิตตลาดหุ้นจีนเปิดที่ 3,442.93 จุด ลดลง 18.57 จุด หรือ -0.54%
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (12 ธ.ค.) ที่ 1,439.89 จุด ลดลง 3.16 จุด (-0.22%) มูลค่าซื้อขาย 41,482.93 ล้านบาท
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ (12 ธ.ค.) 1,531.89 ล้านบาท
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนม.ค. (12 ธ.ค.) ลดลง 27 เซนต์ หรือ 0.38% ปิดที่ 70.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (12 ธ.ค.) อยู่ที่ 6.50 เหรียญ/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 33.93/95 อ่อนค่าตามภูมิภาค หลังตัวเลข PPI สหรัฐสูงกว่าคาด-รับแรงขายพันธบัตร
- "นายกฯ แพทองธาร" ฉายภาพใหญ่รัฐบาล "2568 โอกาสไทยทำได้จริง" ลดอำนาจรัฐส่วนกลาง เปิดทางส่วนท้องถิ่นบริหารงานแบบมีส่วนร่วมกับประชาชน เดินหน้าลงทุนใหญ่ผลักดันไทยก้าวสู่ AI Hub ย้ำปี 68 ได้เห็นรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสายทุกเส้นทาง-ดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 2 แจกเงินสดผู้สูงอายุช่วงตรุษจีน พร้อมตรึงค่าน้ำ-ค่าไฟ-น้ำมัน-ดึงธุรกิจใต้ดินเข้าสู่ระบบ ฟาก S&P คงอันดับเครดิตไทยระดับ BBB+ และคงมุมมองระดับมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) มองนโยบายแจกเงินหมื่นบาท ทำให้หนี้ภาครัฐพุ่ง 3.3% ช่วงปี 68 แต่ช่วยผลักดันการบริโภคของภาคเอกชนเติบโตต่อเนื่อง
- "ไทย" เสี่ยงสุดยุคทรัมป์ เป็นรองแค่เม็กซิโก และเป็นชาติเอเชียเพียงรายเดียวที่ติดท็อป 10 ในรายงาน "Trump Risk Index" ประเมินความเสี่ยง 39 พันธมิตรของสหรัฐทั่วโลกในยุคทรัมป์ 2.0
- "เอสแอนด์พี โกลบอล" คงอันดับความน่าเชื่อถือประเทศไทยที่ "BBB+" พร้อมคงมุมมองความน่าเชื่อถือของระดับมีเสถียรภาพลุ้นเพิ่มระดับความน่าเชื่อถือเป็น "A-" หากการเมืองมีเสถียรภาพและดำเนินนโยบายต่อเนื่อง ด้าน ม.หอการค้าไทย เผยดัชนีเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ย.ปรับตัวตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 2 จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ชี้รัฐออก 3 มาตรการปี 68 เม็ดเงินหมุนในระบบเศรษฐกิจ 1.6-1.8 แสนล้านบาทกระตุ้นจีดีพีได้อย่างน้อย 1.5%
- ตลท.คาดปี 68 แรงหนุนงบประมาณภาครัฐปี 67-68 เกิดลงทุน โครงการใหม่ คาดการณ์ GDP และ EPS เพิ่มขึ้น จากปี 67 เน้นกลุ่มส่งออกและท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง จากปี 67 ผลตอบแทนตั้งแต่ต้นปีพลิกเป็นบวก 0.8% แม้จะยั้งรั้งท้ายแต่ได้ แรงซื้อสถาบัน 2 เดือนติดต่อกันดันสัดส่วนเพิ่มขึ้นมากกว่า 10% แม้ต่างชาติยังเทขายสุทธิ 1.3 แสนล้านบาท แต่คงสัดส่วนถือหุ้นไทย 30% สมาคมบลจ. ให้น้ำหนักลงทุนหุ้นไทยต่อโฟกัสปัจจัยนโยบายสหรัฐและราคาน้ำมัน
- มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพ.ย.2567 ที่ 56.9 ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 ในรอบ 9 เดือน เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มเห็นว่ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลช่วยผ่อนคลายให้สถานการณ์เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวในประเทศเริ่มดีขึ้นต่อเนื่อง
- ที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง (บอร์ดไตรภาคี) ในวันนี้ ยังไม่มีข้อสรุปการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เนื่องจากมีข้อมูลตัวเลขอัตราค่าจ้างเป็นจำนวนมาก มีการเสนอเข้ามาทั้ง 77 จังหวัด ดังนั้นที่ประชุมเห็นตรงกันว่า จะขอประชุมอีกครั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2567 ในเวลา 13.00 น. ซึ่งน่าจะเคาะตัวเลขออกมาได้
*หุ้นเด่นวันนี้
- BCH (กสิกรไทย) ราคาพื้นฐาน 20.60 บาท เรามีมุมมองเชิงบวกต่อผลการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมที่มีมติรับประกันการจ่ายค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่ 12,000 บาทต่อ RW ตลอดปี 2568โดยกำหนดงบประมาณแบบปลายเปิด ส่งผลให้ในปี 2568 จะไม่มีความเสี่ยงด้านรายได้จากผู้ป่วยในของประกันสังคมในส่วนของการรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส4/2567 อาจได้รับผลกระทบจากการบันทึกค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับปี 2567 ที่ 7,200 บาทต่อ RW แต่เรามองว่าเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นสำหรับการลงทุนในปี 2568 นอกจากนี้ การอนุญาตให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษามะเร็งที่โรงพยาบาลในระบบประกันสังคมใดก็ได้ จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้บริการของศูนย์รังสีรักษาเพิ่มขึ้นด้วย
- CPAXT (คิงส์ฟอร์ด) "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย Bloomberg Consensus 37.84 บาท กำไรสุทธิไตรมาส 3/67 อยู่ที่ 1,952 ลบ. (+16%YoY, -10%QoQ) แม้จะมีปัจจัยกดดันจากรายการพิเศษ ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับการควบบริษัทและ Fx Loss ราว -458 ลบ. แต่การดำเนินงานหลักยังเป็นบวกดีYoY โดยเฉพาะยอดขายอาหารสด และ Omni Channel ส่วนช่วงหตรมาส 4/67 นี้ คาดว่าจะ +QoQ ตามฤดูกาล +YoY ต่อเนื่องมีแรงหนุนจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวและมาตรการกระตุ้นกำลังซื้อในประเทศของภาครัฐฯ ปัจจุบัน ตลาดคาดว่าในปี67 และ68 กำไรสุทธิของ CPAXT* จะอยู่ที่ระดับ 10,359 ลบ.(+20%YoY) และ 11,938 ลบ.(+15%YoY) ตามลำดับ