Investing.com - หุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐฯ ร่วงลงในการซื้อขายช่วงเย็นของวันอาทิตย์ ขยายการขาดทุนในวอลล์สตรีท เนื่องจากภาคเทคโนโลยียังคงเผชิญกับการเทขายทำกำไร โดยความสนใจขณะนี้มุ่งเน้นไปที่ข้อมูลเงินเฟ้อสำคัญที่กำลังจะเผยแพร่
การเทขายทำกำไรในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหุ้น NVIDIA Corporation (NASDAQ:NVDA) ทำให้วอลล์สตรีทปรับลดลงอย่างมากจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในวันศุกร์
S&P 500 ฟิวเจอร์ส ขยับลง 0.2% เป็น 5,183.25 จุด ขณะที่ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ปรับลง 0.4% เป็น 18,228.50 จุด เมื่อเวลา 19:04 น. ET (23:04 GMT) ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ขยับ 0.1% เป็น 39,161.0 จุด
จับตาข้อมูล CPI หาสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม
ขณะนี้ตลาดกำลังรอข้อมูลเงินเฟ้อ ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่สำคัญซึ่งจะมีการเผยแพร่ในวันอังคาร เพื่อหาสัญญาณเพิ่มเติมเกี่ยวกับทิศทางของอัตราดอกเบี้ยและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ รายงานดังกล่าวคาดว่าจะแสดงให้เห็นอัตราเงินเฟ้อที่ผ่อนคลายลงบ้าง หลังจากที่ CPI เกินคาดในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา แม้ว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐาน จะยังคงสูงกว่าเป้าหมายประจำปีของเฟดที่ 2% ก็ตาม
เจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟดและเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอีกหลายคน ได้ส่งสัญญาณเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่าพวกเขายังคงมองหาสัญญาณเพิ่มเติมว่าอัตราเงินเฟ้อกำลังอ่อนตัวลง ก่อนที่ธนาคารจะพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย
ความคิดเห็นของพวกเขาสร้างแรงกดดันต่อวอลล์สตรีท โดยเฉพราะการขาดทุนในวันศุกร์ที่เกิดขึ้นจากความเห็นของนีล คาชคาลี ประธานเฟดมินนิอาโปลิส ซึ่งกล่าวว่าเขาไม่เห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยมากกว่าหนึ่งหรือสองครั้งในปี 2024
S&P 500 ปรับลง 0.7% เป็น 5,123.69 จุดในวันศุกร์ ขณะที่ NASDAQ คอมโพสิต ลดลง 1.2% เป็น 16,085.11 จุด ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ ปิดลดลง 0.2% ที่ 38,722.69 จุด
การพุ่งขึ้นในวอลล์สตรีทหมดแรงแล้วหรือยัง
ดัชนีวอลล์สตรีทยังคงมีการขาดทุนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ทำให้เกิดคำถามว่าการเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่งตลอดเดือนกุมภาพันธ์นั้น ตอนนี้กำลังหมดแรงหรือไม่
ก่รเพิ่มขึ้นในภาคเทคโนโลยีท่ามกลางกระแสเกี่ยวกับปัญญาประดิษฐ์ เป็นตัวขับเคลื่อนที่ใหญ่ที่สุดของวอลล์สตรีทในเดือนที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนักลงทุนเข้ามาลงทุนในเครือ Nvidia Corp และผู้ผลิตชิปรายอื่น
แต่การขาดทุนของ Nvidia เมื่อวันศุกร์ทำให้เกิดคำถามว่าการพุ่งขึ้นนี้จะดำเนินต่อไปได้นานแค่ไหน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่ามกลางความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ