Brad Garlinghouse ซีอีโอของบริษัท Ripple กล่าวว่า ปัญหาด้านกฎระเบียบในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก แม้จะอยู่ระหว่างการฟ้องร้องมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านดอลลาร์ กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา (SEC) แต่ดูเหมือนว่า Ripple จะยังคงดำเนินธุรกิจตามปกติ Garlinghouse กล่าวกับสำนักข่าวรอยเตอร์เมื่อวันศุกร์ว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบด้านลบใด ๆ ในภูมิภาค APAC แม้จะอยู่ระหว่างการฟ้องร้องคดีของ SEC ในปัจจุบัน: “ คดีฟ้องร้องดังกล่าวเป็นอุปสรรคต่อกิจกรรมทางธุรกิจในสหรัฐอเมริกา แต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของเราในเอเชียแปซิฟิก” โดยเมื่อเดือนธันวาคมปี 2020 ทาง ก.ล.ต. ของสหรัฐอเมริกาได้ตั้งข้อหาว่าบริษัท Ripple และผู้บริหารระดับสูงมีการละเมิดกฎหมายหลักทรัพย์ในการขายโทเค็น XRP ตั้งแต่ ปี2013 Garlinghouse ระบุว่า บริษัทมีสถานะที่ดีกับหน่วยงานกำกับดูแลในภูมิภาคเอชียแปซิฟิค พร้อมเสริมว่า “เราสามารถพัฒนาธุรกิจในเอเชียและญี่ปุ่นให้เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมันมีความชัดเจนด้านกฎระเบียบในตลาดเหล่านั้น” ปัจจุบันบริษัท Ripple กำลังโปรดปรานกฎระเบียนในญี่ปุ่นและประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดย Ripple ได้เป็นส่วนหนึ่งของการร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท SBI Holdings ของญี่ปุ่น เพื่อก่อตั้งบริษัท SBI Ripple ซึ่งสิ่งนี้เป็นหัวใจสำคัญของโครงการต่าง ๆ มากมายที่นำไปสู่การสร้างเส้นทางการชำระเงินที่ทรงพลังในเอเชีย ในเดือนมีนาคมปี 2020 ที่ผ่านมา Ripple ได้ขยายธุรกิจไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจับมือกับ DeeMoney ซึ่งเป็นบริษัท ฟินเทคของประเทศไทย นอกจากนี้ Garlinghouse ซีอีโอของ Ripple เผยว่า ได้ลดผลกระทบของธุรกิจจากการถูกเพิกถอนการซื้อขายเหรียญในสหรัฐ หรือการหยุดซื้อขายโทเค็น XRP โดยเขาระบุเพิ่มเติมว่า ยังคงมีมากกว่า 200 แพลตฟอร์มทั่วโลกที่ยังซื้อขาย XRP อยู่ นอกเหนือจากการซื้อขายแลกเปลี่ยนคริปโตของสหรัฐฯแล้ว ผู้จัดการสินทรัพย์และกองทุนสกุลเงินดิจิทัล เช่น Bitwise และ Grayscale ก็ได้ liquidated การถือครอง XRP ของพวกเขาด้วย ย้อนกลับไปในเดือนธันวาคมผู้บริหารของ Ripple เปิดเผยว่า มีลูกค้าของบริษัทเพียง 5%
กดอ่านข่าว CEO ของ Ripple ชี้ คดีฟ้องร้องของ ก.ล.ต. ไม่ส่งผลกระทบต่อบริษัทสาขาเอเชียแน่นอน ต่อที่ Siam Blockchain