InfoQuest - นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงเทพ เปิดเผยว่า เงินบาทปิดตลาดเย็นนี้ อยู่ที่ระดับ 34.38/40 บาท/ดอลลาร์ จากช่วง เช้าที่เปิดตลาดที่ระดับ 34.44 บาท/ดอลลาร์ โดยระหว่างวันเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบที่ 34.30 - 34.50 บาท/ดอลลาร์ ด้านสกุลเงินในภูมิภาคอ่อนค่า เมื่อเทียบกับสกุลเงินดอลลาร์ ยูโร และปอนด์ โดยวานนี้ (19 เม.ย.) อังกฤษได้เปิด เผยตัวเลขเงินเฟ้อที่ระดับ 10% ซึ่งค่อนข้างสูงและสูงกว่าสหรัฐฯ ดังนั้น ตลาดจึงมองว่าฝั่งยุโรป อังกฤษ และสหรัฐฯ ที่เงินเฟ้อยังอยู่ใน ระดับสูง กดดันให้คาดการณ์ว่าธนาคารกลางทั้งสามแห่งจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ส่งผลให้สกุลเงินหลักๆ แข็งค่า ตลาดรอติดตามว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ซึ่งมีการคาดการณ์ว่าจะขึ้นอีก 0.25% ทำให้ดอกเบี้ย ของสหรัฐฯ ไปอยู่ที่ระดับ 5.00-5.25% สำหรับตัวเลขทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ต้องติดตามคืนนี้ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิต เดือนเม.ย. จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ยอดขายบ้านมือสองเดือนมี.ค. และดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมี.ค. จาก Conference Board "ต้องติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ คืนนี้ ถ้าโดยรวมออกมาดูดี ดอลลาร์ก็จะแข็งค่าได้ต่อ และเงินบาทก็จะอยู่ในโซน อ่อนค่า" นักบริหารเงิน ระบุ นักบริหารเงิน คาดว่า พรุ่งนี้เงินบาทจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.30 - 34.50 บาท/ดอลลาร์
* ปัจจัยสำคัญ
- เงินเยนอยู่ที่ระดับ 134.75/78 เยน/ดอลลาร์ จากช่วงเช้าที่ระดับ 134.84 เยน/ดอลลาร์ - เงินยูโรอยู่ที่ระดับ 1.0964/0966 ดอลลาร์/ยูโร จากช่วงเช้าที่ระดับ 1.0957 ดอลลาร์/ยูโร - ดัชนี SET ปิดวันนี้ที่ระดับ 1,565.10 จุด ลดลง 15.63 จุด (-0.99%) โดยมีมูลค่าการซื้อขาย 57,260 ล้านบาท - สรุปปริมาณการซื้อขายรายกลุ่ม ต่างชาติขายสุทธิ 767.22 ลบ. (SET+MAI) - ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจทีทีบี (ttb analytics) มองว่า นับตั้งแต่จีนเปิดประเทศในช่วงต้นปี 66 จำนวนนักท่องเที่ยว จีน และความต้องการสินค้าจากประเทศจีนมีสัญญาณดีขึ้น โดยคาดว่านักท่องเที่ยวจีนจะกลับมาเที่ยวไทยในปี 66 สูงถึง 5.3 ล้านคน โดย ครึ่งปีแรกกำลังซื้อยังเป็นไปอย่างจำกัด และจะเริ่มดีขึ้นชัดเจนในช่วงครึ่งปีหลัง เช่นเดียวกับการส่งออกสินค้าจากไทยไปจีน ซึ่งจะทยอยหด ตัวน้อยลงในครึ่งแรกของปี ก่อนจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้การส่งออกสินค้าของไทยไปจีนขยายตัว 0.2% ในปีนี้ - ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ปรับลดประมาณการ GDP ไทย ปี 66 ลงเหลือเติบโต 4.3% จากเดิมที่คาดว่าเติบโต 4.5% สะท้อนตัวเลขเศรษฐกิจไทยที่ออกมาต่ำกว่าคาด ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่มีความสดใส และมีความผันผวน และปัจจัยใน ประเทศเรื่องความล่าช้าในการดำเนินโยบายทางเศรษฐกิจเนื่องจากยังรอการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาล และทำให้มองว่า GDP ไทย ในครึ่งปีแรกจะเติบโตได้ที่ 2.9% - ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจทั้ง 12 เขต หรือ Beige Book ในวันพุธ (19 เม. ย.) โดยระบุว่า เศรษฐกิจสหรัฐชะงักงันในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่การจ้างงานและเงินเฟ้อชะลอตัวลง และการเข้าถึงสินเชื่อลด น้อยลงด้วย - ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สาขานิวยอร์กเปิดเผยว่า แม้ว่าภาคธนาคารของสหรัฐยังคงมีเสถียรภาพหลังเกิด เหตุการณ์ธนาคารล้มละลายครั้งใหญ่เป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์สหรัฐ แต่การที่ธนาคารพาณิชย์เพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อนั้น กำลังส่งผลให้ภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจเข้าถึงเงินกู้ได้ยากขึ้น