โดย Detchana.K
Investing.com - วันนี้ตลาดหุ้นในภูมิภาคในภาคเช้าส่วนใหญ่สามารถยืนได้ในแดนบวก จากการเผยความคืบหน้าในผลการทดสอบวัคซีนในคนของบริษัท Moderna แต่โดยภาพรวมสภาพแวดล้อมการลงทุนยังอยู่ในช่วงรอความชัดเจนจากการประชุมของกลุ่ม OPEC+ ที่จะมีขึ้นในวันนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าในการลดปริมาณการผลิตน้ำมันของประเทศสมาชิก
นักลงทุนต่างจับจ้องว่าหลังจากที่ข้อตกลงลดกำลังการผลิตน้ำมันในกลุ่มสมาชิกลง 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวันที่สิ้นสุดลงไปแล้ว ทาง OPEC+จะมีนโยบายเกี่ยวกับปริมาณการผลิตอย่างไรต่อไป โดยการหั่นการผลิตรอบที่แล้ว ดันราคาน้ำมันดิบโลกขึ้นมาเรื่อยๆตั้งแต่ปลายเดือนเมษายนมาจนถึงช่วงกลางเดือนมิถุนายน สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันเบรนท์ ดีดตัวขึ้นมาเกือบ 2 เท่า จากราคา 25 เหรียญต่อบาร์เรลมาจนถึง 40 เหรียญต่อบาร์เรล ผลการประชุมวันนี้จึงค่อนข้างมีผลอย่างมากต่อทิศทางราคาน้ำมัน ติดตามพร้อมประเด็นสำคัญที่นักลงทุนไทยควรรู้สำหรับวันนี้
1.วันนี้เป็นวันของตลาดน้ำมันโดยแท้
ติดตามผลการประชุมคณะกรรมการตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อตกลงปรับลดกำลังการผลิต (JMMC) ของกลุ่มประเทศ OPEC+ คืนนี้ตามเวลาไทย โดยที่ประชุมจะมีการหารือกันเกี่ยวกับข้อตกลงการปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันที่ระดับ 9.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน ที่จะหมดอายุ ในสิ้นเดือนก.ค
ประเมินว่า OPEC+ จะเห็นชอบข้อเสนอของ JMMC ในการผ่อนคลายการลดกำลังผลิตลงมาเหลือ 7.7 ล้านบาร์เรลต่อ วัน ตั้งแต่ ส.ค. – ธ.ค. 2563 ทำให้นักวิเคราะห์คาดว่าราคา สัญญาซื้อขายล่วงหน้าน้ำมันดิบ WTIจะยังทรงตัวในกรอบ 37 – 42 เหรียญต่อบาร์เรล
ล่วงหน้าก่อนการประชุมในวันนี้ OPEC คาดว่าอุปสงค์น้ำมันประจำปี 2020 จะหดตัวลงเหลือราว 8.9 ล้านบาร์เรลต่อวัน มากกว่าคาดการณ์เมื่อเดือนมิถุนายนที่คาดว่าจะลดลง 9 ล้านบาร์เรล ส่วนปี 2021 ทาง OPEC คาดว่าอุปสงค์น้ำมันจะฟื้นตัวเล็กน้อยจากปีนี้และสูงขึ้นในอัตรา 7 ล้านบาร์เรลต่อวัน
มาดูที่ฝั่งจีนเมื่อวานนี้สำนักงานศุลกากรจีน เผยรายงานยอดนำเข้าน้ำมันดิบเดือน มิ.ย. ของจีนพุ่งเป็นประวัติการณ์ ที่ 53 ล้านตัน หรือคิดเป็น 12.9 ล้าน บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 11.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน ในเดือนก่อนหน้า ภาพรวมเพิ่มขึ้นที่ระดับ 2.7% (YoY) มากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลงที่ระดับ 10%
เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและปริมาณความต้องการในประเทศของจีน โดยเฉพาะการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์และ โครงสร้างพื้นฐาน โดยในเดือนมิ.ย. จีนมีการนำเข้าสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเหล็กอยู่ที่ระดับ 101.7 ล้านตัน เพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 11 ปี
2.เมื่อหุ้นอสังหาฯ ถูกเหมือนแบกะดิน...ใครมีโอกาสเป็นเป้าถูก Takeover?
บลจ.หยวนต้าเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2563 หุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบเชิงลบจากหลายปัจจัย ได้แก่1) มาตรการควบคุมสินเชื่อหรือ LTV 2) ความเข้มงวดของธนาคารพาณิชย์ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย 3) สภาวะหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ 4) สงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน และ 5) การแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่กระทบต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภคและกำลังซื้ออย่างมาก
ส่งผลให้ราคาหุ้นในกลุ่มปรับตัวลดลงเฉลี่ยกว่า 19.0% YTD กระทบโดยตรงต่อผลการดำเนินงานในปี 2563 ทั้งในแง่ของการระบาย Inventory รวมถึงอัตราดูดซับอุปทานสำหรับโครงการเปิดตัวใหม่ เป็นผลให้การแข่งขันทางด้านราคาของผู้ประกอบการรุนแรงมากยิ่งขึ้น แม้ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่คาดว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังสามารถประคองผลประกอบการในระดับที่มีกำไรได้ งบดุลของกลุ่มจึงไม่ถูกกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
หุ้นที่มีความน่าสนใจ มีมูลค่าทางบัญชีที่สูงกว่าราคาตลาดมากและมีโอกาสเป็นเป้าหมาย M&A คือ (BK:RICHY), (BK:LALIN), (BK:LPN), (BK:NVD) และ (BK:NCH) เนื่องจากเป็นหุ้นที่มีสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่อง หลังหักลบหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสูงกว่ามูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และมีผลการดำเนินงานในช่วงปี 2558-62 ที่ดี และมีเสถียรภาพทางการเงินที่อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
เรามองว่าการปรับตัวลงของราคาหุ้นในกลุ่มเป็นเพียงการสะท้อนถึงผลประกอบการระยะสั้นที่ถูกกระทบจากปัจจัยลบของมาตรการ LTV และการแพร่ระบาดของโรค COVID-19 แต่ประเด็นที่ต้องจับตามองคือ การปลดล็อค Asset ของกลุ่มซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญที่มีความสัมพันธ์โดยตรงต่อราคาหุ้นทั้งในระยะสั้น และระยะยาว
3.นักลงทุนเชื่อราคาทองคำยุคโควิดสดใสวิบวับ
ศูนย์วิจัยทองคำเผยดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำประจำเดือนกรกฎาคม 2563 ปรับเพิ่มขึ้น 2.32 จุด หรือคิดเป็นที่ 3.86% เมื่อเทียบกับเดือน มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาโดยสาเหตุมาจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ความต้องการซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยและสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19
ดัชนีความเชื่อมั่นราคาทองคำระยะสามเดือนในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 (ก.ค.– ก.ย.) ปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จากระดับ 62.11 จุด มาอยู่ที่ระดับ 62.83 จุด เพิ่มขึ้น 0.72 จุด หรือคิดเป็น 1.16%
สำรวจความต้องการซื้อทองคำในช่วงเดือน กรกฎาคม 2563 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 296 ตัวอย่าง พบว่าร้อยละ 50.34 ไม่แน่ใจว่าจะซื้อทองคำหรือไม่ ขณะที่ร้อยละ 29.05 ยังไม่ซื้อทองคำในเดือน กรกฎาคม 2563 และร้อยละ 20.61 คาดว่าจะซื้อทองคำในช่วงเดือนนี้
ผู้ประกอบกิจการค้าทองคำรายใหญ่มีมุมมอง เกี่ยวกับราคาทองคำในเดือนกรกฎาคม 2563 โดย Gold Spot XAU/USD ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 1,717 – 1,822 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อออนซ์ ส่วนราคาทองคำแท่งในประเทศความบริสุทธิ์ 96.5% ให้กรอบเฉลี่ยบริเวณ 25,400 – 26,900 บาทต่อบาททองคำ
ห้ามพลาด
♦พฤติกรรมราคาทองคำส่งสัญญาณขึ้นเมื่อทียบกับสกุลเงินหลัก