Investing.com - วอลล์สตรีทมีแนวโน้มที่จะขาดทุนในสัปดาห์นี้ เนื่องจากข้อมูลกิจกรรมที่อ่อนแอทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของภาวะเศรษฐกิจถดถอยในสหรัฐฯ รายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะได้รับการจับตาดูเพื่อหาเบาะแสเกี่ยวกับการเติบโต ขณะที่ผลประกอบการจากบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple และ Amazon ก็จะเป็นที่สนใจเช่นกัน
1. จับตาการจ้างงานนอกภาคเกษตร
จุดเด่นทางเศรษฐกิจของวันนี้ก็จะเป็นการเปิดเผยรายงาน การจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่ได้รับการจับตามองอย่างใกล้ชิด เนื่องจากนักลงทุนต้องการเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับสุขภาพของตลาดแรงงานสหรัฐฯ และเศรษฐกิจโดยรวม
นักเศรษฐศาสตร์คาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะสร้างงานได้ 177,000 ตำแหน่งในเดือนกรกฎาคม ลดลงจาก 206,000 ตำแหน่งในเดือนก่อนหน้า
อัตราการว่างงาน ซึ่งเพิ่มขึ้นตลอดช่วงสามเดือนที่ผ่านมา คาดว่าจะทรงตัวที่ 4.1%
ธนาคารกลางสหรัฐฯ ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ช่วง 5.25% - 5.50% ในวันพุธ ซึ่งเป็นเช่นนั้นมาตั้งแต่เดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว แต่ก็ยังเปิดโอกาสให้มีการลดต้นทุนการกู้ยืมได้ทันทีในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกันยายน
ในคำแถลงการณ์ เฟดได้ลดท่าทีเข็มงวดลงตอนอธิบายเกี่ยวกับเงินเฟ้อและกล่าวว่าความเสี่ยงต่อการจ้างงานขณะนี้เทียบเท่ากับราคาที่เพิ่มสูงขึ้นแล้ว
ข้อมูลที่เผยแพร่เมื่อต้นสัปดาห์แสดงให้เห็นว่า ตำแหน่งงานว่าง ในสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อยในเดือนมิถุนายน ขณะที่ การสมัครงานใหม่ สำหรับสวัสดิการการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 11 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
รายงาน PMI ภาคการผลิต จาก ISM ที่อ่อนแอของสหรัฐฯ ก็ยังเพิ่มความกลัวต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและทำให้นักลงทุนกังวลว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ อาจจะดำเนินการช้าไปในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย
2. หุ้นฟิวเจอร์สร่วงจากความกลัวเกี่ยวกับเศรษฐกิจ
หุ้นฟิวเจอร์สสหรัฐฯ ปรับลดลงในวันนี้ เนื่องจากนักลงทุนกำลังวิเคราะห์ผลประกอบการที่น่าผิดหวังจากภาคเทคโนโลยี ขณะรอการเปิดเผยรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตรประจำเดือนที่มีการจับตามองอย่างใกล้ชิด
เมื่อเวลา 04:10 ET (08:10 GMT) ดาวโจนส์ฟิวเจอร์ส ลดลง 225 จุด หรือ 0.5% S&P 500 ฟิวเจอร์ส ลดลง 48 จุด หรือ 0.9% และ Nasdaq 100 ฟิวเจอร์ส ลดลง 295 จุด หรือ 1.6%
ดัชนีวอลล์สตรีทร่วงลงอย่างหนักในวันพฤหัสบดีหลังจากรายงานจาก ISM เกี่ยวกับการผลิตของสหรัฐฯ ที่อ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทำให้นักลงทุนกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจที่อาจถดถอย
S&P 500 ลดลง 1.4% Nasdaq คอมโพสิต ลดลง 2.3% และ ดาวโจนส์ ร่วงเกือบ 500 จุด หรือ 1.2%
นักลงทุนจะต้องให้ความสำคัญกับรายงานการจ้างงานอย่างเป็นทางการ [ดูด้านบน] เพื่อหาเบาะแสเพิ่มเติมเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของตลาดแรงงานสหรัฐฯ โดยความเชื่อมั่นต่อสินทรัพย์เสี่ยงยังคงเป็นลบในสัปดาห์นี้
Apple (NASDAQ:AAPL) และ Amazon (NASDAQ:AMZN) ได้เปิดเผยผลประกอบการหลังปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี [ดูด้านล่าง] และกำลังได้รับความสนใจ เช่นเดียวกับ Intel (NASDAQ:INTC) หลังจากที่ผู้ผลิตชิปรายนี้กล่าวว่าจะลดจำนวนพนักงานลงมากกว่า 15% และระงับเงินปันผลตั้งแต่ไตรมาสที่สี่เนื่องจากดำเนินการเปลี่ยนแปลง
ในส่วนของผลประกอบการ บริษัทน้ำมันรายใหญ่ Chevron (NYSE:CVX) และ Exxon Mobil (NYSE:XOM) จะมีการประกาศผลประกอบการไตรมาสในวันนี้
3. รายได้ Apple น่าประทับใจแม้มีปัญหาในจีน
Apple รายงานผลประกอบการได้ดีเกินความคาดหมายของวอลล์สตรีท เนื่องจากรายได้จากบริการหลังการขายที่พุ่งสูงขึ้นช่วยชดเชยยอดขาย iPhone ที่ลดลงท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นในจีน
หุ้นของยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีเพิ่มขึ้น 0.6% หลังตลาดปิด เพิ่มขึ้นเกือบ 30% ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้เพิ่มขึ้นประมาณ 13% ในปีนี้
Apple กล่าวว่า รายได้ในไตรมาสที่สี่ของปีงบประมาณจะเติบโตในระดับที่ใกล้เคียงกับการเพิ่มขึ้นถึง 4.9% เหมือนในช่วงเดือนเมษายน-มิถุนายน ซึ่งดีกว่าที่คาดการณ์ไว้
รายได้จากบริการเพิ่มขึ้น 14% สูงเป็นประวัติการณ์ที่ 24.21 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่วอลล์สตรีทคาดการณ์ไว้ที่ 24.01 พันล้านดอลลาร์
ยอดขาย iPhone ก็ปรับตัวดีขึ้นในไตรมาสที่สาม โดยลดลงเพียง 0.9% เมื่อเทียบกับการลดลง 2.2% ที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แม้ว่าจีนซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสามของ Apple ยังคงเป็นตัวฉุดรั้งเนื่องจากยอดขายที่ลดลง 6.5%
Apple ได้ลดราคา iPhone ในจีนเพื่อแข่งขันกับสมาร์ทโฟนทางเลือกที่ถูกกว่ามากซึ่งจัดจำหน่ายโดยคู่แข่งในท้องถิ่น เช่น Huawei
แม้จะมีความยากลำบากเหล่านี้ แต่สิ่งต่าง ๆ ก็อาจจะดีขึ้นในไตรมาสหน้า เนื่องจากนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมีการอัพเกรดสำหรับซีรีส์ iPhone 16 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในเดือนกันยายน
บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์และบริการ AI จำนวนมากที่เรียกว่า Apple Intelligence ในงานประชุมนักพัฒนาซอฟต์แวร์เมื่อเดือนมิถุนายน และการใช้งาน Apple Intelligence จะต้องการอย่างน้อย iPhone 15 Pro หรือใหม่กว่า ซึ่งอาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคอัพเกรดอุปกรณ์ของตน
4. Amazon รายงานการเติบโตที่ชะลอตัวลง
หุ้นของ Amazon ปรับลดลงในช่วงหลังตลาดปิดหลังจากที่ยักษ์ใหญ่อีคอมเมิร์ซรายงานการเติบโตของยอดขายออนไลน์ที่ชะลอตัวลงในไตรมาสที่สอง โดยเสริมว่าผู้บริโภคที่ความกังวลเรื่องการเงินกำลังจับจ่ายใช้สอยอย่างระมัดระวัง
ยอดขายในร้านค้าออนไลน์ของ Amazon เพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสที่สองเป็น 55.4 พันล้านดอลลาร์ เทียบกับการเติบโต 7% ในไตรมาสแรก
นอกจากนี้ บริษัทได้เสนอแนวทางรายได้ในไตรมาสที่สามที่ 154-158.5 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 158.2 พันล้านดอลลาร์
Brian Olsavsky ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินบอกกับผู้สื่อข่าวในการประชุมทางโทรศัพท์ว่า ผู้บริโภค “ยังคงระมัดระวังการใช้จ่ายของพวกเขา”
“พวกเขากำลังมองหาส่วนลด” เขากล่าวเสริม โดยสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ที่มีราคาต่ำกว่ากำลังขายดี
ข่าวนี้ได้บดบังผลลัพเชิงบวกโดยรวม โดยผลกำไรและยอดขายของระบบคลาวด์ในไตรมาสที่สองนั้นสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้
หุ้นของ Amazon ลดลงเกือบ 7% หลังตลาดปิดแต่ยังคงเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% ในปีนี้
5. ราคาน้ำมันดิบจ่อขาดทุนเป็นสัปดาห์ที่สี่ติดต่อกัน
ราคาน้ำมันดิบปรับเพิ่มขึ้นในวันนี้ แต่กำลังอยู่ในระดับที่กำลังจะขาดทุนติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่สี่ เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจที่ชะลอตัว
เมื่อเวลา 04:10 ET น้ำมันดิบ WTI ฟิวเจอร์ส เพิ่มขึ้น 1.1% เป็น 77.18 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ขณะที่ น้ำมันดิบเบรนท์ เพิ่มขึ้น 1% เป็น 80.32 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ซุ่งทั้งสองสัญญาลดลงประมาณ 8% ในช่วงสี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวังจากประเทศจีนซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ที่สุด และการสำรวจที่แสดงถึงกิจกรรมการผลิตที่อ่อนแอทั่วเอเชีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกา ก็ทำให้เกิดความกังวลต่อเศรษฐกิจทั่วโลกที่อ่อนแอ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการบริโภคน้ำมัน
ข้อมูลเศรษฐกิจที่อ่อนแอยังทำให้ตลาดส่วนใหญ่เพิกเฉยต่อความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง หลังจากการสังหารผู้นำของกลุ่มฮามาสในอิหร่านเมื่อต้นสัปดาห์
องค์กรประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและพันธมิตร หรือที่รู้จักกันในชื่อ OPEC+ ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายการผลิตหลังจากการประชุมทางออนไลน์เมื่อวันพฤหัสบดี โดยย้ำว่าอาจระงับแผนการเพิ่มการผลิตตั้งแต่เดือนตุลาคมเป็นต้นไป