Siamblockchain - เมื่อเร็ว ๆ นี้ จีนและบราซิลได้บรรลุข้อตกลงที่จะละทิ้งดอลลาร์สหรัฐฯ และซื้อขายในสกุลเงินของตัวเอง เช่นเดียวกับรัสเซีย ปากีสถนา และอีกหลายประเทศ ซึ่งทำให้เราเห็นว่าการครอบงำของเงินดอลลาร์ทั่วโลกลดลงอย่างมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตามข้อมูลจากธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (BIS) ในปี 2010 ดอลลาร์และยูโรคิดเป็น 63% ของการซื้อขายยทั้งหมดในการแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศซึ่งทำให้ USD กลายเป็นสกุลเงินสำรองที่แข็งแกร่งอย่างมากในช่วงนั้น อย่างไรก็ตามหากเปรียบเทียบกับปี 2021 จะเห็นได้ว่าตัวเลขทุนสำรองของ USD นั้นลดลงอย่างมาก กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่าดอลลาร์ได้สูญเสียตัวตนในฐานะสกุลเงินสำรองของโลกและไม่ได้คงความแข็งแกร่งเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป ทั้งนี้ดูเหมือนว่าความเชื่อมั่นในเงินดอลลาร์จะลดลงเล็กน้อยหลังจากเกิดสงครามรัสเซียยูเครน และการคว่ำบาตรของปูตินได้กลายเป็นประเด็นที่ทำให้ทุนสำรองของรัสเซียในดอลลาร์ ยูโร และเยน หมดไปอย่างสิ้นเชิง “การคว่ำบาตรรัสเซียลดความต้องการสกุลเงิน USD, EUR และ JPY ในฐานะสินทรัพย์สำรอง ในขณะเดียวกันก็เพิ่มความต้องการสกุลเงินอื่นที่สามารถทำหน้าที่เป็นสกุลเงินสำรองได้” ทั้งนี้หากให้ประเมินความเป็นไปได้ว่าสิ่งใดจะถูกนำมาเป็นสกุลเงินสำรองเพื่อเข้าไปเติมในสภาพคล่องนั้นก็คงหลีกหนีไม่พ้นทองคำและ Bitcoin ซึ่งทำให้นักวิเคราะห์หลายรายต่างวิเคราะห์ไปต่าง ๆ นานาว่ามูลค่าของ Bitcoin จะจบลงที่เท่าไหร่หากมันถูกนำไปใช้เป็นสกุลเงินสำรองของโลก “หากเป็นทองคำจะอยู่ที่ประมาณ 31,000 ดอลลาร์ และราคา Bitcoin สามารถไปได้ที่ 1.3 ล้านบาท” อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อสงสัยว่า Bitcoin จะสามารถแข่งขันกับทองคำเพื่อเอาชนะความเชื่อมั่นของธนาคารกลางทั่วโลกได้หรือไม่? Bitcoin กับทองคำ JP Morgan เคยกล่าวในคำให้การต่อหน้ารัฐสภาในปี
กดอ่านข่าว นักวิเคราะห์เผย Bitcoin สามารถไปได้ถึง 1.3 ล้านดอลลาร์หากมันกลายเป็น “ทุนสำรองของโลก” ต่อที่ Siam Blockchain