BeInCrypto - Scalper หรือ Scalping เป็นการเทรดที่มีลักษณะสั้นที่สุดเมื่อเทียบกับกลยุทธ์อื่นๆ ในบางครั้งการเปิดสถานะและปิดสถานะการเทรดอาจใช้เวลาไม่ถึงนาที และในหนึ่งวันอาจมีการเข้าเทรดหลายๆ ครั้งโดยเฉพาะกับตลาดคริปโตที่ผันผวนสูง
กลยุทธ์การเทรดนี้ จำเป็นต้องมีทักษะที่สูงอย่างรอบด้าน ทั้งในการวิเคราะห์ราคาเชิงเทคนิค การตัดสินใจ การคุมความเสี่ยง และการพิจารณาเลือกสินทรัพย์และแพลตฟอร์มที่เหมาะสม โดยทั่วไปแล้ว กลยุทธ์นี้จะถูกใช้ในการเทรด Future บนตลาดคริปโตเคอเรนซี่และ Forex
Table of Contents
- ทำความรู้จักกับการเทรดแบบ Scalping
- เริ่มเทรด Scalping อย่างไร และมันเหมาะกับใคร
- ข้อควรระวังและความเสี่ยง
- ความแตกต่างระหว่าง Scalping และ Day Trading
ทำความรู้จักกับการเทรดแบบ Scalping
การเทรดแบบ Scalping คือการมองหาโอกาสในการทำกำไรผ่านการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย และความผันผวนในตลาด ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง
ลักษณะในการทำกำไร คือ การเก็บเล็กผสมน้อยหลายๆ ครั้ง จนเป็นกำไรก้อนใหญ่ แต่กลยุทธ์นี้ไม่เหมาะสำหรับนักเทรดระดับเริ่มต้น เพราะต้องอาศัยประสบการณ์รอบด้านเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้ที่ชำนาญการเทรดในลักษณะอื่นอย่าง swing trading, day trading และ value investor ก็อาจจะล้มเหลวในการเทรดลักษณะนี้
เริ่มเทรด Scalping อย่างไร และมันเหมาะกับใคร
บุคคลที่เหมาะกับกลยุทธ์นี้ ต้องมีคุณสมบัติและทักษะต่างๆ ดังต่อไปนี้
- เวลา
นักเทรดต้องมีเวลาในการเฝ้าหน้าจอ เพื่อมองหาเสี้ยววินาทีที่โอกาสในการทำกำไรจะเกิดขึ้น โดยมีความเสี่ยงต่ำที่สุด นั่นหมายความว่า นักเทรดต้องมีการจัดการเวลาที่ดีในชีวิต หรือหากลยุทธ์เช่นการตั้ง Alert ต่างๆ เพื่อทุ่นเวลาที่จะต้องเฝ้าจอลง
หากคุณไม่สามารถบริหารจัดการ เวลาชีวิตกับเวลาเฝ้าหน้าจอได้ มันอาจทำให้คุณภาพชีวิตคุณต่ำลง เสียสุขภาพ และมีความเครียดสูงตลอดเวลา
อีกทางเลือกหนึ่งที่จะกำจัดปัญหาด้านเวลาไปคือ Algorithmic Trading หรือ การออกแบบระบบเทรดด้วยบอท หากคุณมีความชำนาญด้าน Programing และการเทรดขั้นสูง ศัพท์เทคนิคเรียกการเทรดที่ไม่ต้องอาศัยการตัดสินใจของมนุษย์นี้ว่า Non-discretionary trading
การใช้คอมพิวเตอร์ในการเทรดลักษณะนี้จะเหมาะกับคุณมากที่สุด เพราะนอกจากจะคุณจะไม่ต้องเฝ้าจอแล้ว คุณก็ไม่ต้องเครียดจากความกดดันที่จะต้องตัดสินใจในการทำอะไรต่างๆ ในเวลาไม่กี่วินาทีอีกด้วย -การวิเคราะห์เชิงเทคนิคขั้นสูง
การวิเคราะห์เชิงเทคนิค (Technical Analysis) เป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุด เพราะคุณต้องออกแบบกลยุทธ์ในการเข้าซื้อหรือขาย ที่เหมาะสมในกราฟการเคลื่อนไหวของราคาที่ระดับนาที นักเทรดต้องกำหนดจุด Stop Loss และ Take Profit ล่วงหน้า
สิ่งที่นักเทรดระยะสั้นมองหา คือ กลยุทธ์ที่มีอัตราการชนะที่สูง แม้จะต้องแลกด้วยกำไรที่น้อยลง แตกต่างจาก Trend Following ของนักเทรดแบบ Swing Trade ที่อาจมีอัตราการชนะที่ต่ำราว 30-40% แต่เวลาได้กำไร จะสามารถทำกำไรได้ก้อนโต
- การตัดสินใจที่ฉับไว และ มีวินัยสูง
นักเทรดต้องตัดสินใจภายในชั่ววินาที เพราะในกราฟระดับนาที มีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว แต่นอกจากการตัดสินใจอย่างรวดเร็วและแม่นยำแล้ว วินัยคือสิ่งสำคัญทีสุด ที่จะทำให้คุณไม่ล้มหายตายจากจากตลาดไปเสียก่อนจะทำกำไรได้
การ Cut loss คือหัวใจ เพราะเมื่อคุณซื้อขายเพื่อทำกำไรจากความเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นบนตลาด Future คุณอาจใช้อัตราทด (leverage) มาเป็นตัวช่วย ในการทำกำไร ซึ่งโดยทั่วไปจะมีอัตราทดที่สูงกว่าการเทรดลักษณะอื่น
หากคุณวางแผนการคุมความเสี่ยงไว้แล้วและไม่ทำตาม อัตราทดนี้จะหันมาทำร้ายคุณและเสียหายมากกว่าที่วางแผนไว้อย่างรวดเร็วภายในไม่กี่นาที เช่น หากคุณเลือก X10 นั่นหมายความว่าคุณกำลังรับความเสี่ยงมากขึ้นถึง 10 เท่า
ข้อควรระวังและความเสี่ยง
ความเสี่ยงในการเทรด Scalping นั้นสูงมากที่สุดในบรรดากลยุทธ์ทั้งหมด แน่นอนว่าข้อดีของมันคือ คุณสามารถเห็นผลกำไรอย่างต่อเนื่องในทุกๆ สภาพตลาดไม่ว่าจะตลาดกระทิงหรือหมี และมีความเสี่ยงด้านเวลาที่ต่ำ (time-exposure) เพราะการถือครองสถานะมีเวลาไม่นานนัก แต่ความเสี่ยงที่สูง พร้อมข้อความระวังก็ตามมาเช่นกัน
- สภาพคล่องในตลาด
การเทรดระยะสั้นมากๆ นี้ จำเป็นต้องเลือกแพลตฟอร์มและคู่สินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูงมากๆ หากสภาพคล่องต่ำหมายความว่าส่วนต่างของราคา bid และ offer จะสูง หรือแม้แต่กำแพงราคาที่บางเกินไป
บางครั้งสภาพคล่องที่ต่ำจะทำให้เกิด slippage ได้ ทำให้ความเสี่ยงของคุณเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะบ่อยครั้งจะเป็นความเสี่ยงที่คุณไม่ได้คำนวณไว้ และนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ Algorithmic Trading ที่แสดงผลกำไรดีในช่วงการทดสอบ กลับล้มเหลวและขาดทุนในการซื้อขายจริง
ในขณะเดียวกัน คุณกลับต้องการคู่สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูง เพื่อหาโอกาสในการทำกำไร นั่นหมายความว่า คุณจะต้องพิจารณาชั่งน้ำหนักให้ดี ว่า ความผันผวนกับสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ในการเข้าเทรด
- ค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียม เป็นอีกหนึ่งศัตรูที่บางคนอาจมองข้ามไป เพราะมันคือต้นทุนประเภทหนึ่ง สิ่งนี้ทำให้แม้แต่ตลาด spot ซื้อขายคริปโต ไม่เหมาะกับการเทรดประเภทนี้ เช่น บน Binance ค่าธรรมเนียมจะคิดเป็น 0.1% ขาซื้อและขาย นั่นหมายความว่า ตลาดจะต้องเคลื่อนไหวมากกว่า 0.1% เป็นอย่างน้อย เพื่อครอบคลุมเพียงค่าธรรมเนียมขาซื้อเพียงเท่านั้น
ตัวเลือกที่เหมาะสมจึงกลายเป็นตลาด Future ที่ค่าธรรมเนียมจะคิดเป็น 0.02 – 0.04% เพียงเท่านั้น ดังนั้นต้นทุนในการซื้อขายระยะสั้นจึงต่ำกว่าการเทรดในตลาด Spot เป็นอย่างมาก เพราะมีอัตราทดและการ Short สำหรับการทำกำไรเพิ่มเติม ค่าธรรมเนียมที่ต่ำจึงสามารถทำให้คุณทำกำไรได้ แม้สินทรัพย์จะเคลื่อนไหวเพียง 0.1% ก็ตาม
ความแตกต่างระหว่าง Scalping และ Day Trading
ความแตกต่างหลักๆ ระหว่าง Day Trading กับ Scalping คือ ช่วง Time Frame หรือกราฟที่ใช้ Day Trading แม้จะจบในวันแต่มันมีการถือครองสถานะที่นานกว่า อาจใช้กราฟ 5 นาที – 1 ชั่วโมงในการตัดสินใจ เพื่อหาจุดเข้าซื้อขายคริปโตและบางครั้งคุณอาจจะต้องถือสถานะข้ามวันก็เป็นได้
ส่วน Scalper จะเลือกใช้กราฟตั้งแต่ 1 นาที ในการตัดสินใจ หรือบางรายอาจเลือกใช้กราฟระดับวินาทีก็เป็นได้ ขึ้นอยู่กับ charting platform ที่พวกเขาเลือกใช้ ระยะเวลาการถือครองสถานะจึงสั้นมากๆ และส่วนมากแทบจะไม่มีการถือครองข้ามคืนเลยด้วยซ้ำ แม้จะสามารถตั้ง SL และ TP ทิ้งไว้ได้ก็ตาม บางครั้งสถานะอาจเปิดและปิดในเวลาไม่ถึง 5 นาที
นักเทรดมืออาชีพอาจมีการเปิดและปิด Postion หลายสิบหรือหลายร้อย Position ในแต่ละวัน หากคุณคิดว่าตนเองไม่เหมาะกับการต้องตัดสินใจและความคุมความกดดันที่ถาโถมอย่างต่อเนื่องไม่ได้ การเทรดแบบ Day Trading อาจจะจะเหมาะกับคุณมากกว่า
จากการศึกษาวิจัยของ The Financial Conduct Authority (FCA) ที่ศึกษานักลงทุน 517 ราย ซึ่งผู้เข้าร่วม 38% ระบุว่า ปัจจัยที่ทำให้เข้าเทรดของพวกเขาไม่ได้มาจากความเป็นเหตุเป็นผล แต่เกิดจากความตื่นเต้นทางอารมณ์ในการซื้อขาย การศึกษานี้ชี้ให้เห็นได้ชัดเจนว่าสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่อาจเกิดขึ้นกับนักเทรด คือความมั่นใจที่มากเกินไป การขาดทักษะต่างๆ และการขาดวินัยในการควบคุมความเสี่ยงที่ดี